แปรสนามรบเป็นสนามการค้า
ท่ามกลางกระแสเชียร์ให้กองทัพไทยเผด็จศึกกองทัพเขมร ในดินแดนที่พิพาทกันจนกลายเป็นกระแสคลั่งชาติขึ้นมา โดยคนไทยกลุ่มหนึ่งปลุกกระแสระดมกำลังคนเข้าทำร้ายคนเขมรที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างบริสุทธิ์ จนลืมข้อเท็จจริงไปว่าสินค้าส่งออกของประเทศไทยไปกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนถึง 40% ของสินค้านำเข้าของกัมพูชาโดยเฉพาะสินค้าบริโภคทั้งหลาย
นี่คือกระแสของการแปรสภาพ สนามการค้าเป็นสนามรบ ซึ่งตรงกันข้ามกับข้อเสนอแปรสนามรบให้เป็นสนามการค้าของรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณเมื่อ 30 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้ไทยมีตลาดรองรับสินค้าและบริการมากมายในอินโดจีน ช่วยลดแรงกดดันจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป โดยไทยหันมาเน้นมาตรการป้องกันตัวทางการค้าอย่างเข้มงวดมากขึ้น
ผลพวงของรัฐบาลชาติชาย ทำให้อินโดจีนกลายเป็นเขตสันติภาพขึ้นมาโดยปริยาย จากการค้าขายข้ามพรมแดนอย่างคึกคัก และมีการลงทุนในกลุ่มทุนของประเทศไทย เช่น กลุ่มเซ็นทรัลที่รุกเข้าไปในธุรกิจท่องเที่ยวและสินค้าอุปโภคบริโภคในเวียดนามและกัมพูชา กลุ่มปูนใหญ่ก็เข้าไปทำธุรกิจปิโตรเคมีคอลที่ใหญ่สุดในเวียดนามและอาเซียนด้วยเงินลงทุนถึง 300,000 ล้านบาท กลุ่มเสี่ยเจริญที่ลงทุนผ่านเครือข่ายสินค้าเครื่องดื่มเอฟแอนด์เอ็นของสิงคโปร์ และกลุ่มปตท. ที่รุกเข้าไปทำธุรกิจปั๊มน้ำมันในสปป.ลาวและกัมพูชา ในขณะที่กลุ่มช.การช่างร่วมกันทำธุรกิจเขื่อนผลิตไฟฟ้าในสปป.ลาว
ความสำเร็จขั้นสูงสุดของรัฐบาลชาติชาย ได้ปรากฏอยู่ในเพลงสุรชัยสามช่าอย่างเป็นรูปธรรมถึงความสำเร็จของนโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะท่อนที่พูดถึงคนเขมรในด้านบวก ว่า “เพื่อนฉันเป็นขะแมร์ รักจริงแท้ไม่แพ้ลาวญวน ทำนาประสาบ้านนอก ใส่เสื้อดอกตะกรุดของขลัง สู้การสู้งานจริงจัง ไม่เคยหักหลังคดโกงใคร”ก่อนที่จะจบลงด้วยท่อนที่ว่า “น้ำโขงไม่เคยคิดแบ่ง เป็นกำแพงแบ่งชาติชนชั้น น้ำโขงมาเป็นน้ำจัน มาลัยสัมพันธ์จะคล้องคอเธอ”
บรรยากาศมิตรภาพดังกล่าวกำลังจะถูกทำลายโดยผู้อยู่เบื้องหลังการปลุกปั่นกระแสคลั่งชาติ ที่พยายามเปลี่ยนสนามการค้าเป็นสนามรบอย่างสิ้นคิด
วิษณุ โชลิตกุล