ความเสี่ยงภาษีทรัมป์ ดัน ‘อาชีพล็อบบี้ยิสต์’ ในสหรัฐเฟื่องฟู
ท่ามกลางความเสี่ยงมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ “ยอดล็อบบี้”รัฐบาลทรัมป์ และ สภาคองเกรส ในสหรัฐก็พุ่งทะยานขึ้น โดยข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่อ้างอิงข้อมูลเปิดเผยการวิ่งเต้นต่อรัฐบาลกลางพบว่า ย้อนไปในช่วงก่อนวันที่ 2 เม.ย.ที่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ทุกประเทศ จำนวนบริษัทที่วิ่งเต้นด้านภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น “เกือบเท่าตัว” ในไตรมาสแรกปีนี้ จากรายงานล็อบบี้ 179 ฉบับในไตรมาสแรกของปี 2024 เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 350 ฉบับ
สำหรับ “อาชีพล็อบบี้ยิสต์” (Lobbyist) ถือเป็นอาชีพถูกกฎหมาย ในการรับเรื่องมอบหมายจากเหล่าบริษัท หรือแม้แต่จากรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ในการเข้าล็อบบี้รัฐบาลสหรัฐ และสมาชิกสภาคองเกรสให้หันมา “ปรับนโยบายใหม่” ให้เป็นคุณต่อกลุ่มที่ตนเป็นตัวแทนอยู่
ยกตัวอย่าง บริษัทเทคโนโลยี รายใหญ่ เช่น Google, Meta หรือ Apple อาจจ้างล็อบบี้ยิสต์ให้ไปเจรจากับสมาชิกรัฐสภาสหรัฐ เพื่อให้ลงมติ “คัดค้าน” กฎหมายจำกัดการผูกขาด ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
หรือแม้แต่เมื่อรัฐบาลมีทีท่าจะเข้าควบคุมราคายา กลุ่มล็อบบี้จากบริษัทยาสหรัฐ ก็จะเข้าไปโน้มน้าวรัฐบาลและสมาชิกสภาสหรัฐด้วยผลประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ออกนโยบายที่กระทบต่อธุรกิจยา
เนื่องด้วยนโยบายภาษีทรัมป์มีความไม่แน่นอนสูง และสามารถกลับไปกลับมาได้ง่าย จึงช่วยเปิดช่องให้อาชีพล็อบบี้ยิสต์รุ่งเรือง และเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง ซึ่งทรัมป์ก็แย้มว่า “เรื่องภาษีนี้ สามารถต่อรองกันได้”
ที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์อย่าง General Motors และ Toyota Motor รวมถึงยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอย่าง Walmart และ Targetต่างก็ส่งล็อบบี้ยิสต์ของตนไปเจรจาภาษีนำเข้ากับทีมทรัมป์ ในช่วงเวลาที่ทรัมป์เริ่มประกาศเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นกับแคนาดา เม็กซิโก และจีนในช่วงสัปดาห์แรก ๆ
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า รายงานล็อบบี้ที่ระบุหมวดหมู่กว้าง ๆ อย่าง “การค้า” เพิ่มขึ้น 23% เป็น 1,564 ฉบับ ขณะรายงานที่กล่าวถึงประเด็น“ภาษี” เพิ่มขึ้น 25% เป็น 3,086 ฉบับในช่วงต้นของวาระที่สองของทรัมป์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ตัวอย่างเช่น บริษัท Tesla ที่มีอีลอน มัสก์ เป็นผู้บริหาร ระบุในรายงานว่า บริษัทกำลังวิ่งเต้นในเรื่อง “นโยบายการค้าโดยทั่วไป”
ไม่เพียงเท่านั้น ในขณะนี้ “นักการทูตสหภาพยุโรปประจำสหรัฐ”ได้ว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ที่มีชื่อเสียงซึ่งมีความเชื่อมโยงกับพรรครีพับลิกันและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลทรัมป์ เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การสื่อสารด้านการค้าและการลงทุนกับทรัมป์ ตามเอกสารที่สำนักข่าว POLITICO ได้รับมา
“บริษัท DCI Group AZ, L.L.C. จะให้คำปรึกษากับคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำสหรัฐ ในด้านกลยุทธ์การสื่อสารและการมีส่วนร่วมกับสาธารณะ โดยเน้นการส่งเสริมการค้าและการลงทุนของสหภาพยุโรปในสหรัฐ” ตามแบบฟอร์มที่ยื่นต่อ US Foreign Agents Registry (FARA)
ในตอนนี้ กลุ่มล็อบบี้ยิสต์ได้ระบุสินค้าหลากหลายประเภท ที่อาจได้รับผลกระทบจาก ภาษีนำเข้าทรัมป์ เช่น ซิการ์เกรดพรีเมียม อาหารสัตว์เลี้ยง นมผงสำหรับทารก ถุงมือศัลยกรรม วัสดุก่อสร้าง หมอน ซองจดหมาย ฯลฯ
นอกจากนี้ ทั้งช่างไฟฟ้า ซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนรถยนต์ โรงพยาบาล นายหน้าขายเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และแม้แต่บริษัท McDonald’s หนึ่งในร้านฟาสต์ฟู้ดโปรดของทรัมป์ ต่างก็แสดงความกังวลถึงผลกระทบของภาษี ที่อาจเกิดขึ้นกับห่วงโซ่อุปทานของตน
ล็อบบี้ยิสต์ของกลุ่มได้ติดตาม“กลยุทธ์ภาษีทรัมป์” ซึ่งพวกเขาระบุว่า อาจถูกออกแบบมาเพื่อกดดันให้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐยอมรับค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติเข้าสู่ประเทศมากยิ่งขึ้น
นักวิเคราะห์ตลาดคาดการณ์ว่า ทรัมป์อาจผลักดันให้มีการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสูงขึ้น เพื่อแลกกับค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการส่งออกของสหรัฐไปต่างประเทศ และลดการขาดดุลการค้า
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์และทีมเศรษฐกิจของเขากลับมีท่าทีไม่แน่นอน เมื่อถูกถามว่า ต้องการผลักดันให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าหรืออ่อนค่ากันแน่
ฝ่ายบริหารของทรัมป์ระบุว่า ตั้งแต่ประกาศภาษีเมื่อวันที่ 2 เมษายน ประเทศต่าง ๆ หลายสิบประเทศได้ติดต่อ เพื่อหารือเรื่องข้อตกลงทางการค้าใหม่ โดยแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐมีกำหนดเจรจากับ 34 ประเทศในสัปดาห์นี้
ในขณะนี้ บริษัทต่างๆ กำลังวิ่งเต้นหรือเจรจากับรัฐบาลสหรัฐ เพื่อให้มีข้อตกลงทางการค้าเฉพาะรายประเทศ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของตนเองซึ่งปรากฏในรายงานการล็อบบี้ ที่ต้องรายงานต่อรัฐบาลสหรัฐ
ตัวอย่างเช่น บริษัท Dow Chemical ได้ระบุในเอกสารการเปิดเผยข้อมูลว่า บริษัทได้ดำเนินการติดต่อกับรัฐบาลทรัมป์ในนโยบายหลายประเด็น รวมถึงการพยายามผลักดันผลลัพธ์ทางการค้าในเชิงบวก โดยเฉพาะกับประเทศต่างๆ เช่น บราซิล สหภาพยุโรป ตุรกี ญี่ปุ่น ไต้หวัน สหราชอาณาจักร ซาอุดีอาระเบีย อาร์เจนตินา และอินเดีย