จีนเดินหน้า เสริมสร้างความร่วมมืออีคอมเมิร์ซกับนานาประเทศ
“อีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหม” หรือการใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในการซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างประเทศในเส้นทางสายไหม กลายเป็นมาตรการสำคัญ ภายใต้ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (บีอาร์ไอ) และเป็นช่องทางสำคัญสำหรับความร่วมมือทางการค้าพหุภาคีและทวิภาคี
ตามที่กระทรวงพาณิชย์จีนเปิดเผย จีนกำลังทำงานร่วมกับประเทศพันธมิตรด้านอีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาด้านดิจิทัล โดยนำเสนอโปรแกรมการฝึกอบรมเฉพาะบุคคล เพื่อยกระดับศักยภาพด้านอีคอมเมิร์ซ สำหรับรัฐบาลและธุรกิจต่าง ๆ
นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2563 โปรแกรมการบรรยายทางออนไลน์ด้านอีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหม ได้จัดไปแล้ว 108 ครั้ง โดยมีผู้เข้าร่วมในกว่า 80 ประเทศ การบรรยายในแต่ละครั้ง ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ลาตินอเมริกา แอฟริกา และอาเซียน การฝึกอบรมออนไลน์และออฟไลน์เหล่านี้ ช่วยพัฒนาบุคลากรด้านอีคอมเมิร์ซในประเทศที่เข้าร่วม
นายหวาง ซู่ปิน หัวหน้าฝ่ายบริหารของวิทยาลัยอาชีวศึกษาธุรกิจระหว่างประเทศกว่างซีในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทางตอนใต้ของจีน กล่าวในการบรรยายออนไลน์ เรื่องอีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหม สำหรับสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ว่า วิทยาลัยแห่งนี้เป็นผู้นำการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน เขากล่าวว่า วิทยาลัยใช้ประโยชน์จากอีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหมและสถานะของกว่างซี ในฐานะประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของจีน
วิทยาลัยได้จัดตั้งแพลตฟอร์ม “Guihai Business Hub” ในต่างประเทศ 10 แห่ง โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและบริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา ลาว และเวียดนาม
วิทยาลัยได้ดำเนินการร่วมกับองค์กรต่าง ๆ โดยจัดการฝึกอบรมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนแบบจีน ให้แก่ผู้เข้าร่วมมากกว่า 6,000 ราย นอกจากนี้ วิทยาลัยยังได้ปลูกฝังบุคลากรที่มีความสามารถในด้านการดำเนินการถ่ายทอดสด การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ และการบริการลูกค้าข้ามพรมแดน ช่วยให้องค์กรมากกว่า 400 แห่ง ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดเส้นทางสายไหมได้
นายหลี่ หมิงเทา สมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อการพัฒนาเมืองสาธิตอีคอมเมิร์ซระดับชาติ กล่าวว่า จีนยังคงสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความร่วมมือด้านอีคอมเมิร์ซระดับโลก รัฐบาลจีนส่งเสริมความร่วมมือด้านอีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหมด้วยการจัดตั้งกลไกอีคอมเมิร์ซระหว่างรัฐบาล การจัดแนวนโยบายและกฎระเบียบ และส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี รวมถึงความร่วมมือในระดับท้องถิ่น
หลี่กล่าวเสริมว่า ข้อกำหนดด้านอีคอมเมิร์ซ ได้ถูกผนวกเข้าไว้ในการเจรจาการค้าพหุภาคีและทวิภาคี ซึ่งสร้างสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เอื้ออำนวยต่อความร่วมมือด้านอีคอมเมิร์ซแบบสองทาง
ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกในตัวมันเองจนถึงปัจจุบัน ความร่วมมือด้านอีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหมของจีนได้ขยายออกไปถึง 35 ประเทศ จีนได้พัฒนาแบรนด์ความร่วมมือหลายแบรนด์ ก่อตั้งศาลาแห่งชาติทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ 120 แห่ง สร้างฐานการจัดซื้อโดยตรง 65 แห่งใน 19 ประเทศ และจัดการฝึกอบรมด้านอีคอมเมิร์ซมากกว่า 100 ครั้ง ผ่านการบรรยายออนไลน์ด้านอีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหม ซึ่งช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านอีคอมเมิร์ซระดับโลกอย่างมีนัยสำคัญ
นับตั้งแต่ต้นปี 2568 กระทรวงพาณิชย์จีนเปิดตัวแคมเปญภายใต้หัวข้อ “อีคอมเมิร์ซมีประโยชน์ต่อโลกอย่างไร” ครอบคลุม 18 ภูมิภาคและ 8 แพลตฟอร์มหลักใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การสื่อสารด้านนโยบาย การบูรณาการอุตสาหกรรม การสร้างศักยภาพ และความร่วมมือในท้องถิ่น
แคมเปญดังกล่าวแนะนำโครงการความร่วมมือ 40 โครงการ ช่วยให้ประเทศคู่ค้าสามารถเลือกโครงการที่เหมาะสมที่สุดกับความต้องการของตน และทำให้ความร่วมมือด้านอีคอมเมิร์ซมีประสิทธิภาพและปฏิบัติได้จริงมากขึ้น.
ข้อมูล : People's Daily
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES