ฉากร้อนการเมืองเดือนก.ค. หลังเปิดสภา สองพ่อลูก‘ชินวัตร’ ใจสั่นลุ้นรอดคดี 3 ศาล
วันพฤหัสบดีที่ 3 ก.ค. สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะกลับมาเปิดสมัยประชุมอีกครั้งเป็นเวลาร่วม 4 เดือนเต็ม ที่จะเป็นตัวเร่งทำให้การเมืองกลับมาเข้มข้นอีกครั้ง
โดยแม้ก่อนจะเข้าสู่ช่วงฤดูฝนเดือน ก.ค. เรื่อง การปรับคณะรัฐมนตรี ของแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงการนัดชุมนุมใหญ่ทางการเมืองที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย เพื่อแสดงพลังปกป้องอธิปไตย และเรียกร้องให้แพทองธารรับผิดชอบทางการเมืองต่อกรณีคลิปเสียง ฮุน เซน ที่เสร็จสิ้นไปเมื่อวันเสาร์ที่ 28 มิ.ย.68 ที่ผ่านมาเช่นกัน แต่สถานการณ์การเมืองต่อจากนี้ ที่จะเข้าสู่ช่วงเดือน ก.ค. ต้องบอกว่าเข้มข้น ร้อนแรงต่อเนื่อง จนทำให้หลังเปิดสภา การเมืองคู่ขนานทั้งในสภาและนอกสภาจะร้อนแรงกลางสายฝนเดือน ก.ค.
หากโฟกัสที่ สองพ่อลูกชินวัตร ทักษิณและแพทองธาร ที่วันนี้คือศูนย์กลางอำนาจทางการเมือง พบว่าเดือน ก.ค. ทักษิณ-แพทองธาร ต่างต้องลุ้นเรื่องคดีความในศาล ด้วยกันทั้งคู่
ในส่วนของ นายกฯ แพทองธาร ก็คือการลุ้นผลการประชุมของ “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” วันที่ 1 ก.ค.นี้ ว่าที่ประชุมจะมีการพิจารณาวาระ “คำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36 คน” ที่เข้าชื่อร่วมกันยื่นคำร้องต่อศาล รธน.ให้วินิจฉัยกรณี
คลิปเสียงอัปยศ
ที่แพทองธาร ผู้นำประเทศไทย พูดคุยกับฮุน เซน ซึ่งคำร้องดังกล่าวขอให้วินิจฉัยว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีของแพทองธารสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ กรณีคลิปเสียงอัปยศดังกล่าว
สิ่งที่ต้องถามก่อนเป็นลำดับแรกก็คือ คำร้องดังกล่าวจะเข้าที่ประชุมตุลาการศาล รธน. 1 ก.ค.นี้หรือไม่ หลังประธานวุฒิสภาส่งไปเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ซึ่งหากเข้าไม่ทัน ก็จะเข้าในการประชุมนัดต่อไป 8 ก.ค.
กระนั้นเดิมทีตุลาการศาล รธน.นัดประชุม 8 ก.ค. แต่ต่อมามีการขอนัดประชุมเพิ่มขึ้นมาในสัปดาห์นี้คือ 1 ก.ค.
ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะเป็นเพราะตุลาการศาล รธน.หลายคนเห็นว่าคำร้องดังกล่าวมีนัยสำคัญทางการเมือง-การปกครอง และเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนทั้งประเทศ เลยเห็นตรงกันว่า ศาล รธน.ต้องประชุมกันให้สะเด็ดน้ำว่าจะเอาอย่างไรกับคำร้องนี้ จึงทำให้มีการนัดวันประชุมเพิ่มขึ้นมาในวันที่ 1 ก.ค. ที่ก็คือขยับการประชุมให้เร็วขึ้นหนึ่งสัปดาห์ จนกระแสสังคมส่วนใหญ่เทน้ำหนักไปในทางที่ว่า 1 ก.ค. ศาล รธน.จะมีการถกเถียง-ลงมติว่าจะรับหรือไม่คำร้องคดีนี้
และพบว่าทุกฝ่ายมองข้ามช็อตไปแล้วว่า เรื่องนี้เข้าวันที่ 1 ก.ค.นี้แน่ ตอนนี้เหลือต้องลุ้นในสองฉากสำคัญคือ หนึ่ง ที่ประชุมจะลงมติรับคำร้องหรือไม่รับคำร้อง คดีดังกล่าวไว้วินิจฉัย
โดยหากไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ปมคลิปเสียงอัปยศ ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศเห็นธาตุแท้ของนายกฯ ก็จบในชั้นศาล รธน. ต้องไปลุ้นในองค์กรอื่นต่อไป ที่ตอนนี้ก็มีคนไปร้องอยู่ทั้งที่สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.และคณะกรรมการการเลือกตั้ง แต่อย่างที่รู้กัน กระบวนการไต่สวนของทั้งสองหน่วยงานใช้เวลานานเป็นปีๆ กว่าจะสรุปผลว่าเอาผิดหรือไม่เอาผิด และต่อให้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแพทองธาร แต่ผลการพิจารณาก็ไม่ได้จบที่ ป.ป.ช. ต้องส่งต่อไปยังศาลฎีกาฯ อีก ยังไงใช้เวลาเร็วสุดก็สองปี ถึงตอนนั้น ก็เลือกตั้งกันใหม่แล้วหากสภาอยู่ครบเทอม แต่หากศาล รธน.รับคำร้อง แบบนี้สิ จบเร็วแน่นอน คาดว่าใช้เวลาเต็มที่สุดๆ เลยก็น่าจะประมาณ 4 เดือน และอาจเร็วกว่านั้นก็ได้
จุดนี้ทำให้ฝ่ายที่ต้องการเห็น บทลงโทษทางการเมือง ให้กับแพทองธาร ที่ดื้อตาใส ไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงหวังผลที่ศาล รธน.มากที่สุด เพราะ รู้ ผลเร็ว-จบเร็ว และผลคำวินิจฉัยถือเป็นที่สุด
และนอกจากทักษิณ-แพทองธาร-เพื่อไทย ต้องลุ้นไม่ให้ศาล รธน.รับคำร้องคดีดังกล่าวไว้วินิจฉัยแล้ว แต่หากลุ้นไม่ขึ้น ศาล รธน.มีมติรับคำร้อง ถ้าแบบนี้ก็ต้องไปลุ้นฉากที่สองคือ ขอให้ศาล รธน.อย่าสั่งให้แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่การเป็นนายกรัฐมนตรีไว้จนกว่าศาล รธน.จะมีคำวินิจฉัย เพื่อที่แพทองธารจะได้เป็นนายกฯ ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่ศาล รธน.นัดอ่านคำวินิจฉัย แล้วค่อยไปลุ้นแบบใจระทึกในวันพิพากษาตัดสินคดี
ถึงตอนนี้จับกระแสการเมืองต่างๆ ต้องบอกว่า ยังยากจะประเมินได้ว่าหากศาล รธน.รับคำร้องไว้พิจารณา แล้วจะสั่งให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่?
ที่ผ่านมา คำร้องที่มี “ผู้ถูกร้อง” เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีทั้งที่ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่และไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่
โดยเคสตัวอย่าง ไม่ต้องย้อนไปไกล เอาแค่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา นายกฯ ที่ถูกศาล รธน.สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ที่คนจำได้ก็คือ เคสคดีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถูกร้องในคดีดำรงตำแหน่งนายกฯ เกิน 8 ปี ในการเป็นนายกฯ สมัยที่สอง
คดีดังกล่าว ศาลมีมติเอกฉันท์รับคำร้องไว้วินิจฉัย 9:0 แต่เสียงแตก 5:4 ให้พลเอกประยุทธ์หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ แต่ตอนนั้นพลเอกประยุทธ์ควบ รมว.กลาโหมด้วย เลยใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำงานที่ ก.กลาโหม ไม่ได้เข้าร่วมประชุม ครม.ในฐานะ รมว.กลาโหมเลย จนสุดท้ายพลเอกประยุทธ์ก็รอด เพราะศาล รธน.มีมติ 6 ต่อ 3 ว่าพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ ยังไม่เกิน 8 ปี จึงกลับมาเป็นนายกฯ ต่อ
ส่วนคดีที่ศาล รธน.รับคำร้อง แต่ไม่ได้สั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็เพิ่งผ่านมายังไม่ถึงหนึ่งปี นั่นก็คือ คดี เศรษฐา ทวีสิน กรณีตั้งพิชิต ชื่นบาน ทนายถุงขนมเป็น รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ที่อดีต สว.ชุดที่ผ่านมาเข้าชื่อส่งเรื่องถึงศาล และศาล รธน.มีมติ 6 ต่อ 3 รับคำร้องไว้พิจารณา แต่มีมติ 5 ต่อ 4 ไม่ให้เศรษฐาหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่สุดท้ายเศรษฐาก็ไม่รอด เพราะศาลมีมติ 5 ต่อ 4 ให้พ้นจากนายกฯ เมื่อ ส.ค.ปี 2567 จนทำให้แพทองธารขึ้นเป็นนายกฯ แทน
ดังนั้น วันที่ 1 ก.ค.นี้ ในหลักความเป็นจริง ถึงต่อให้ศาล รธน.ไม่สั่งให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่การที่รับคำร้องไว้พิจารณาก็เป็นข่าวร้ายสำหรับทักษิณ-แพทองธาร-เพื่อไทย เพราะเคสของแพทองธาร มันก็มีโอกาสกลับมาซ้ำรอยเดิมแบบเศรษฐาได้ คือไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ก็ไม่รอด ต้องพ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้จังหวะการลุ้นของทักษิณ-แพทองธาร-เพื่อไทยในคดีนี้
จึงต้องลุ้นให้ศาล รธน.ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา เพื่อจะได้จบๆ ไป ไม่มีเรื่องกวนใจให้ต้องลุ้นและกังวลใจ ด้วยความกลัวว่าประวัติศาสตร์การเมืองจะกลับมาหลอกหลอนอีกครั้งว่า แพทองธารจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 ในเครือข่ายพรรคเพื่อไทย-ตระกูลชินวัตร ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะคำตัดสินของศาล รธน. ตามรอยอดีตนายกรัฐมนตรี 4 คนของเพื่อไทยก่อนหน้านี้ คือ สมัคร สุนทรเวช สมัยรัฐบาลพลังประชาชน ในคดีชิมไปบ่นไป-สมชาย วงศ์สวัสดิ์ คดียุบพรรคพลังประชาชน กรณีซื้อเสียงที่เชียงราย-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คดีย้ายถวิล เปลี่ยนศรี จากเลขาธิการ สมช. และเศรษฐา ทวีสิน คดีตั้งทนายถุงขนมเป็น รมต.
ข้างต้นคือกรณีของแพทองธารที่ต้องลุ้นชะตากรรมการเมืองของตัวเองว่าจะอยู่หรือไป จากผลการพิจารณาของ 9 ตุลาการศาล รธน.
ขณะที่ ทักษิณ ในเดือน ก.ค.นี้ มีคิวต้องลุ้น-ต้องสู้คดีในชั้นศาลเช่นกัน โดยมีเดิมพันชีวิตสูงเช่นกันคือ หากไม่รอดอาจต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง กับการพิจารณาคดีของศาลอาญาและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เพราะเดือน ก.ค.นี้ ทักษิณต้องไปขึ้นศาลอาญาในคดีที่อัยการฟ้องเป็นจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีให้สัมภาษณ์มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันกับสำนักข่าวแห่งหนึ่งที่กรุงโซล เกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 ซึ่งศาลอาญานัดสืบพยาน 7 นัด เริ่มจากฝ่ายโจทก์วันที่ 1, 2 และ 3 ก.ค. และนัดสืบพยานฝ่ายจำเลย 15, 16, 22 และ 23 ก.ค.2568 หลังจากนั้นจะจัดทำคำพิพากษาของศาล ที่คาดว่าอาจจะนัดอ่านคำตัดสินปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569 ซึ่งทักษิณก็ต้องเตรียมพร้อมสู้คดีในชั้นศาลอาญาให้ดี เพราะหากพลาดขึ้นมาอาจมีผลต่อชะตาชีวิตตามมา
และเดือน ก.ค.นี้เช่นกัน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคิวเปิดห้องพิจารณาคดีไต่สวนคดีชั้น 14 ที่ศาลนัดไต่สวน 6 นัด ในเดือน ก.ค. คือ 4-8-15-18-25-30 ก.ค. และคาดว่าอาจจะนัดฟังคำสั่งในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.ปีนี้
ทำให้ตลอดเดือน ก.ค.จึงเป็นเดือนที่ทักษิณ-แพทองธาร ต้องเตรียมสู้คดีและลุ้นกับผลการพิจารณาของตุลาการทั้งสามศาลคือ ศาล รธน.-ศาลอาญาและศาลฎีกา ตามลำดับ โดยมีเดิมพันสูงทั้งสองพ่อลูก ชนิดแพ้ไม่ได้.