นักวิชาการ ชี้ กัมพูชาขึ้นทะเบียนศิลปะการแสดง ไม่ใช่สอดไส้วรรณกรรมไทย ติงอย่าปั่นเอายอดเอนเกจ
นักวิชาการ ชี้ กัมพูชาขึ้นทะเบียนศิลปะการแสดง ไม่ใช่สอดไส้วรรณกรรมไทย ติงอย่าปั่นเอายอดเอนเกจ
วันที่ 15 กรกฎาคม นายฟาริส โยธาสมุทร อาจารย์ภาควิชาวรรณคดี คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Faris PHar Yothasamuth
ระบุว่า มีคนไปขุดเอกสารในเว็บ UNESCO แล้วบอกว่าเขมรสอดไส้เอา”วรรณกรรมไทย”ไปขึ้นทะเบียนจนสำเร็จตั้งแต่ปี 2008 มีคนแชร์ไปเยอะแยะ เพจข่าวเอาไปลงกันใหญ่โต แต่ขอบอกตรงนี้เลยว่ามั่วทั้งเพครับ
1.) รายชื่อตามรูปไม่ใช่วรรณกรรม แต่เป็นรายชื่อการแสดงละครรำแบบเขมร ถ้าอ่านเอกสารที่ยกมาสักหน่อยก็จะเห็นคำว่า Performing arts กับคำว่า Drama อยู่ชัดเจน การกล่าวถึง”การละคร”มีมิติของทั้งการบรรจุท่ารำ เพลงประกอบ รวมไปถึงเครื่องกาย สังเกตให้ดีท้ายรายชื่อเขาเขียนว่า Choreographer หมายถึงคนที่ออกแบบ/บรรจุท่าร่ายรำ
ดังนั้นการจัดทำลิสต์นี้เขามุ่งเน้นที่”การแสดงละคร”ไม่ใช่ตัวเนื้อเรื่องซึ่งหมายถึง”บทละคร”อันมีลักษณะเป็นวรรณกรรม
2.) ละครรำของราชสำนักเขมรได้รับอิทธิพลจากราชสำนักไทยไปในช่วงรัชกาลที่ 3 ของกรุงรัตนโกสินทร์ เขาเรียกว่าละครพระราชทรัพย์ ดังนั้นเรื่องที่นำไปใช้เล่นละครหลายเรื่องก็จะได้รับอิทธิพลจากละครรำอย่างไทย ซึ่งแบ่งเป็นละครใน (เล่นเรื่องอุณรุท รามเกียรติ์ อิเหนา ดาหลัง) และละครนอก (เล่นหลายเรื่องเช่น คาวี สังข์ทอง ไกรทอง ไชยเชษฐ์) ในลิสต์ตามข่าวก็จะพบชื่อละครเหล่านี้ นั่นเป็นเพราะการรับอิทธิพลไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมราชสำนักของเขา ก่อนจะถูกนำมาทำใหม่ (re-institue) หลังยุคเขมรแดง
3.) การขึ้นทะเบียนละครรำ (Royal Ballet) ของเขมรจึงเป็นการขึ้นทะเบียนศิลปะการแสดง ไม่ใช่การขึ้นทะเบียนวรรณกรรมไม่เกี่ยวกัน อีกทั้งเนื้อเรื่องที่นำไปทำการแสดงก็ต้องมีการทำบทใหม่อยู่แล้ว ไม่ได้เอาบทละครไทยทั้งดุ้นไปแน่นอน วรรณกรรมของไทยเราก็ยังเป็นของเรา ถ้าเราจะเอาวรรณกรรมพวกนี้ไปขึ้นทะเบียนบ้างก็ไม่มีใครห้าม
4.) การหยิบยืมเนื้อเรื่องของละครจะใช้สายตาลิขสิทธิ์แบบปัจจุบันไม่ได้ วรรณกรรม/วรรณคดีของไทยมีต้นเค้าที่เป็นเรื่องเล่าจากหลายแหล่ง เรื่องพวกนี้ไม่ได้เป็นเรื่องเล่า original อะไร กวีสามารถหยิบเรื่องราวมาแต่งเป็นวรรณคดีฉบับ (version) ของตัวเองได้ใหม่เรื่อยๆ เช่น รามเกียรติ์มีฉบับกรุงเก่า ฉบับกรุงธนบุรี ฉบับร.1 ร.2 ร.6 นิทานบางเรื่องมีที่มาจากต่างชาติ เช่น รามเกียรติ์ อุณรุท มาจากนิทานสันสกฤต อิเหนา ดาหลัง มาจากนิทานชวา ที่สำคัญคือเรื่องเล่าพวกนี้มีสถานะเป็นสมบัติส่วนรวมที่แชร์กันข้ามวัฒนธรรม เช่นนิทานเรื่องพระรามก็พบทั้งในไทย (รามเกียรติ์) เขมร (เรียมเกร์) ลาว (พระลักพระลาม) ถ้าจะหวงกันแบบนี้มิต้องเอาอิเหนาคืนอินโดนีเซียเขาไปงั้นหรือ
5.) ในลิสต์บทละครนี้ปรากฏเรื่องพระเวสสันดร ซึ่งก็คือมหาเวสสันดรชาดกที่มาจากนิบาตชาดกนั่นแหละ เรื่องที่มาจากภาษาบาลีแบบนี้จะหวงว่าเป็นวรรณกรรมไทยของเราชาติเดียวได้อย่างไร อีกทั้งการที่เขมรเอาเรื่องพระเวสสันดรไปแสดงละครยิ่งแสดงให้เห็นธรรมเนียมที่ต่างไปจากไทย เพราะวัฒนธรรมการละครไทยแบบดั้งเดิมจะไม่เอาเรื่องศาสนามาแสดงเป็นละคร เรื่องศาสนาจะอยู่ในรูปกลอนเทศน์ (แต่งด้วยร่ายยาว) และกลอนสวด (แต่งด้วยกาพย์) เป็นหลัก เช่น มหาชาติกลอนเทศน์ พระมาลัยกลอนสวด เป็นต้น (การที่ต้นเรื่องบอกว่าพระเวสสันดรเจ้าพระยาพระคลังหนแต่งก็ให้ข้อมูลไม่ครบ เพราะมหาชาติกลอนเทศน์แต่งโดยกวีหลายคน)
***โดยสรุปคือโพสต์ต้นทางนั้นอ่านเอกสารไม่ครบถ้วน ไม่เข้าใจ ไม่มีความรู้จริงๆในเรื่องวรรณคดี ศิลปะการแสดง หรือศิลปวัฒนธรรม แล้วทึกทักเป็นตุเป็นตะไปมั่วซั่ว ที่น่าเศร้าคือเพจข่าว/สำนักข่าวก็งับไปเผยแพร่ใส่น้ำเสียงปลุกปั่นเรียกยอดเอนเกจกันใหญ่ ไม่มีสักเจ้าที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้าน
ปล.ผมเขียนแบบนี้ขอดักทางไว้เลยว่าต้องมีคนมาด่าว่าเป็นขี้ข้าเขมร/ตัวไทยใจเขมร แหม ก็รู้แหละว่าตอนนี้เกลียดเขมรกัน แต่ใช้สติหน่อย ถ้าไม่มีความรู้ก็รู้จักแสวงหาความรู้หรือฟังคนที่เขารู้จริงพูดบ้าง แล้วถามหน่อยเหอะ คนที่เป็นเดือดเป็นแค้นว่าเขมรขโมย “วรรณกรรมไทย” ไปเนี่ย มีสักกี่คนที่เคยอ่านวรรณกรรมพวกนี้จริงๆ ถ้าถามความรู้วรรณคดีเบื้องต้นตอบกันได้ไหม มีใครบ้างเคยไปดูโขน ดูละครรำ ศิลปวัฒนธรรมไทยตอนมันอยู่เฉยๆก็ไม่ค่อยไยดีกันหรอก แต่พอบอกว่าเขมรเคลมของไทยปุ๊ปเลือดรักชาติสูบฉีดปั๊บ อยากจะหวงแหนอนุรักษ์กันขึ้นมาทันที
อย่าให้เป็นแบบนั้นเลย มันตลก
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : นักวิชาการ ชี้ กัมพูชาขึ้นทะเบียนศิลปะการแสดง ไม่ใช่สอดไส้วรรณกรรมไทย ติงอย่าปั่นเอายอดเอนเกจ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th