กำไรสุทธิ Q2 บริษัททั่วโลกโต 7% กลุ่ม IT-อิเล็กทรอนิกส์นำโด่ง รับดีมานด์ AI, ยานยนต์ซบพิษภาษีทรัมป์
กำไรสุทธิ Q2 บริษัททั่วโลกโต 7% กลุ่ม IT-อิเล็กทรอนิกส์นำโด่ง รับดีมานด์ AI, ยานยนต์ซบพิษภาษีทรัมป์
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -26 ส.ค. 68 15:10 น.
รายงานของ QUICK FactSet เผยกำไรสุทธิรวมช่วงไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้แรงหนุนจากบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ เนื่องจากความต้องการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เพิ่มขึ้น
ข้อมูลที่รวบรวมจากบริษัทจดทะเบียนประมาณ 25,000 แห่งทั่วโลก ประกอบด้วยบริษัทในญี่ปุ่น สหรัฐฯ ยุโรป และจีน รวมถึงคาดการณ์ของตลาดในกรณีที่บริษัทยังไม่รายงานผลประกอบการ แสดงให้เห็นว่ากำไรสุทธิรวมเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 โดยมี 10 จาก 17 กลุ่มอุตสาหกรรมรายงานผลกำไรที่เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นจาก 8 กลุ่มในไตรมาสแรก
กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ รายงานกำไรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 58% โดยเฉพาะ Microsoft ที่มีกำไรเพิ่มขึ้น 24% จากความต้องการบริการคลาวด์ที่ใช้ในการประมวลผล AI นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อีกสี่แห่ง ในกลุ่ม Big Five ได้แก่ Alphabet, Apple, Amazon, และ Meta ต่างรายงานรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นเช่นกัน
กลุ่มธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 16% นำโดย SK Hynix ของเกาหลีใต้ ซึ่งมีกำไรพุ่งสูงถึง 70% จากยอดขายชิปขั้นสูงสำหรับ AI ส่วน Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 60%
ขณะที่กลุ่มยานยนต์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ มีกำไรสุทธิลดลงถึง 37% โดย Mercedes-Benz ของเยอรมนี กำไรสุทธิดิ่งลง 70% ด้าน Ford Motor เผชิญการขาดทุนจากต้นทุนการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ที่สูงขึ้น รวมถึงความท้าทายในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
ส่วนกลุ่มพลังงานและวัสดุก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีเช่นกัน โดยความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ราคาน้ำมันดิบลดลง ส่งผลให้กำไรของบริษัทอย่าง Chevron และ ExxonMobil ปรับตัวลง
ขณะที่บริษัท Dow ยักษ์ใหญ่ด้านเคมีภัณฑ์ของสหรัฐฯ ขาดทุนต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 เนื่องจากยอดส่งออกที่อ่อนแอและตลาดที่ไม่คึกคัก
ข้อมูลคาดการณ์ระบุว่า กำไรสุทธิทั่วโลกในไตรมาส 3 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 19% เนื่องจากความไม่แน่นอนจากข้อตกลงด้านภาษีระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นคลี่คลายลง ทำให้มีกระแสเงินทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นหลัก รวมถึงความหวังในการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินจากธนาคารกลางทั่วโลกก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาด โดยกลุ่มเทคโนโลยียังเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในไตรมาส 3
นักวิเคราะห์จาก Fidelity International ระบุว่าประเด็นสำคัญในตอนนี้คือ ภาคธุรกิจจะผลักภาระต้นทุนจากภาษีไปยังผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด แม้บริษัทจำนวนมากจะเร่งสต็อกสินค้าไว้ก่อนที่มาตรการภาษีจะมีผลบังคับใช้ แต่เมื่อสต็อกหมดลง ก็ต้องเลือกว่าจะขึ้นราคาหรือแบกรับภาระต้นทุนต่อไป
ที่มา Nikkei Asia
รายงาน โดย Supak Hopuengju เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ