ซูเปอร์โพลเผยนักธุรกิจ 82.4% อยากเห็นการเมืองไทยเปลี่ยนแปลง
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 18 สิงหาคม 2568 เวลา 0.44 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทกรุงเทพฯ 17 ส.ค.- ซูเปอร์โพล เผยนักธุรกิจ-นักลงทุน 82.4% ต้องการเห็นการเมืองไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง ชี้พรรคใหญ่มุ้งเยอะทำคนเบื่อ จับตาพรรคเล็กแจ้งเกิดการเมืองใหม่ ขณะที่ “อาร์ท-เอกสิทธิ์” จากปวงชนไทย นำกระตุ้น SMEs-ท่องเที่ยว ด้าน “ดร.เอ้” เด่นการศึกษา ส่วน “สุดารัตน์” มีประสบการณ์การเมือง
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง “โพลนักธุรกิจ นักลงทุน คิดอย่างไรต่อพรรคการเมือง” จากกลุ่มตัวอย่างนักธุรกิจ นักลงทุน ในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว บริการ การค้า และการผลิตทั่วประเทศจำนวน 450 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 10 – 16 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา พบว่า ภาคธุรกิจมีมุมมองวิพากษ์วิจารณ์ต่อพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในหลายมิติ โดย 74.3% เห็นว่าพรรคใหญ่เต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน มีหลายมุ้งหลายกลุ่ม ไม่เป็นเอกภาพ, 70.9% เห็นว่าพรรคใหญ่ถูกหนุนหลังโดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่, และ 68.8% เห็นว่าพรรคใหญ่ไม่สะท้อนเสียงของธุรกิจ SMEs ที่เป็นฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าภาคธุรกิจ ไม่พึงพอใจต่อการเมืองแบบรวมศูนย์และผูกขาด เท่ากับเปิดพื้นที่ให้พรรคเล็กและพรรคเกิดใหม่เข้ามาเป็นทางเลือกที่ใกล้ชิดกับเศรษฐกิจจริงมากกว่า
ส่วนร้อยละ 82.4 ของนักธุรกิจและนักลงทุน แสดงความต้องการอย่างชัดเจนที่จะเห็นการเมืองไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง ขณะที่มีเพียง ร้อยละ 9.5 ที่ไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และอีก ร้อยละ 8.1 ไม่มีความเห็นในประเด็นดังกล่าว ตัวเลขเชิงสถิติที่ปรากฏนี้มิได้เป็นเพียงการบ่งชี้เชิงปริมาณเท่านั้น หากยังสะท้อนถึง “กระแสความรู้สึกส่วนรวม” ของกลุ่มผู้มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งกำลังเรียกร้องการปรับตัวของระบบการเมืองไทยอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ผลสำรวจของซูเปอร์โพลแสดงให้เห็นว่า พรรคการเมืองเล็กและพรรคเกิดใหม่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะพรรคปวงชนไทย ที่มีคะแนนนำในหลายประเด็น เช่น สภาพคล่อง SMEs และสตาร์ทอัพ: ปวงชนไทย (37.6%) นำหน้าไทยสร้างไทย (31.8%) และไทยก้าวใหม่ (31.2%) ความเข้มแข็งของ SMEs: ปวงชนไทย (45.6%) นำเหนือไทยก้าวใหม่ (43.8%) โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: ปวงชนไทย (45.8%) นำหน้าไทยก้าวใหม่ (45.2%) พลังงานสะอาดและลดต้นทุนโลจิสติกส์: ปวงชนไทย (42.6%) นำหน้าไทยก้าวใหม่ (41.3%)
ขณะที่ ไทยสร้างไทยและ เสรีรวมไทย ก็มีความโดดเด่นในบางประเด็น เช่น การท่องเที่ยวคุณภาพสูง และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน นี่สะท้อนว่าพรรคเล็กกำลังถูกมองว่า “มีบทบาทเชิงนโยบาย” ที่จับต้องได้ แตกต่างจากภาพลักษณ์พรรคใหญ่ที่ถูกวิจารณ์หนัก
ที่น่าสนใจ คือ ผลการสำรวจภาพลักษณ์หัวหน้าพรรคการเมืองขนาดเล็กและพรรคเกิดใหม่ สะท้อนให้เห็นว่า นักธุรกิจและนักลงทุนมีการเชื่อมโยงคุณลักษณะของผู้นำกับบุคคลสำคัญในแวดวงการเมืองและภาคธุรกิจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับศักยภาพด้านเศรษฐกิจและการเข้าถึงกลุ่มธุรกิจในมิติ ประสบการณ์ด้านธุรกิจและเศรษฐกิจพบว่า เอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ได้รับการยอมรับสูงสุด ร้อยละ 38.9 สะท้อนภาพลักษณ์ของผู้นำที่มีพื้นฐานจากการปฏิบัติจริงในแวดวงธุรกิจ ตามมาด้วย สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ร้อยละ 36.5 และ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 32.5
ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าผู้นำรุ่นใหม่ที่มีรากฐานจากภาคธุรกิจเริ่มเป็นที่จับตามองของกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทางเศรษฐกิจในด้านความใกล้ชิดกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม เอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ยังคงนำหน้า ร้อยละ 47.2 โดยมีสุชัชวีร์ (ร้อยละ 45.9) และสุดารัตน์ (ร้อยละ 44.8) ติดตามมาอย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกับด้าน ความสามารถในการเข้าถึงและเป็นที่ยอมรับในภาคธุรกิจ ซึ่งเอกสิทธิ์ได้รับคะแนนสูงที่สุด ร้อยละ 48.9 ขณะที่สุชัชวีร์ (ร้อยละ 47.3) และสุดารัตน์ (ร้อยละ 45.3) ได้คะแนนตามลำดับ สะท้อนว่าผู้นำที่สามารถสร้าง “ความใกล้ชิด” และ “ความเชื่อมโยง” กับกลุ่มธุรกิจจะได้รับการยอมรับมากขึ้นในยุคที่ภาคเศรษฐกิจต้องการพันธมิตรทางการเมืองที่ตอบสนองปัญหาได้รวดเร็ว
ด้าน การดูแลแรงงานและสวัสดิการ ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า เอกสิทธิ์ คุณานันทกุล (ร้อยละ 42.9) ได้เปรียบเหนือสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (ร้อยละ 41.0) และสะท้อนบทบาทของผู้นำที่ถูกมองว่าสามารถเชื่อมโยงประเด็นการคุ้มครองแรงงานเข้ากับผลประโยชน์ของภาคธุรกิจได้อย่างสมดุล
อย่างไรก็ตาม ในมิติที่เกี่ยวข้องกับ ความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส และ ประสบการณ์ทางการเมือง กลับเป็นชื่อของนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ที่ยังคงมีความโดดเด่นและได้รับการยอมรับสูงกว่า
ผลโพลชี้ให้เห็นว่า ผู้นำพรรคเล็กและพรรคเกิดใหม่ เริ่มได้รับการยอมรับจากภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ ความสามารถทางเศรษฐกิจและการเข้าถึงกลุ่มทุนจริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น แต่ในขณะเดียวกัน คุณลักษณะด้านความน่าเชื่อถือทางการเมืองและคุณธรรมจริยธรรม ยังคงเป็นพื้นที่ที่ผู้นำรุ่นใหม่จำเป็นต้องพัฒนาและสร้างความเชื่อมั่นให้มากขึ้น หากต้องการก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือกสำคัญของสังคมและเศรษฐกิจในอนาคต -สำนักข่าวไทย