ศาลอุทธรณ์ แก้คำพิพากษาคดี 2นรต.ฝึกโดดร่มดับ สั่งเพิ่มโทษ 6 จำเลย
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 จ.สมุทรสงคราม ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 (ภาค 7) โจทก์ ยื่นฟ้องจำเลยรวม 9 คน ในคดีหมายเลขดำที่ อท.17/2563 (คดีหมายเลขแดงที่ อท.11/2565 ) โดยระหว่างการพิจารณาคดี บิดามารดาของนักเรียนนายร้อยตำรวจ ช. และบิดามารดาของนักเรียนนายร้อยตำรวจ ณ. ได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมที่ 1 ถึงที่ 4
โดยบรรยายฟ้องใจความสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 27 กันยายน 2556 ถึงวันที่ 5 มีนาคม 2557 สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยกองบินตำรวจทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซ่อมแชมและแก้ไขข้อขัดข้องของเครื่องบินแบบคาซ่า(CN 235) หมายเลข 28053 มีบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด เป็นผู้รับจ้างช่วง ซึ่งในการซ่อมแซมและแก้ไขข้อขัดข้องของเครื่องบินลำดังกล่าวนั้น มีการจัดหาอะไหล่และตรวจซ่อมสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มที่ติดตั้งภายในเครื่องบินแทนของเดิมที่ชำรุด โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อจัดหาอะไหล่สลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มจากบริษัทในต่างประเทศเพื่อนำมาติดตั้งภายในเครื่องบิน ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นบุคคลผู้ปฏิบัติงานในบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด
โดยจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้จัดการศูนย์ซ่อมอากาศยานลพบุรี มีหน้าที่กำกับดูแล ควบคุมการซ่อมบำรุงและบริการอากาศยาน รวมถึงการตรวจซ่อมและแก้ไขข้อขัดข้องสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มที่ติดตั้งภายในเครื่องบินลำดังกล่าว จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งหัวหน้าช่างซ่อมบำรุงเครื่องบินลำดังกล่าว จำเลยที่ 3 และที่ 4 ดำรงตำแหน่งช่างเทคนิคช่อมบำรุงมีหน้าที่ซ่อมบำรุงอากาศยาน รวมถึงการตรวจซ่อมและแก้ไขข้อขัดข้องสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มที่ติดตั้งภายในเครื่องบินลำดังกล่าว จำเลยที่ 5 ดำรงตำแหน่งนายตรวจอากาศยานและหัวหน้าสนับสนุนงานซ่อมบำรุงอากาศยาน มีหน้าที่ดูแลการใช้เอกสารเกี่ยวกับการซ่อมบำรุง อากาศยาน รวมถึงการตรวจซ่อมแก้ไขข้อขัดข้องสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มที่ติดตั้งภายในเครื่องบินลำดังกล่าว
ส่วนจำเลยที่ 6 ถึงที่ 8 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจของกองบินตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นคณะกรรมการมีหน้าที่ประสานติดตามและตรวจสอบความสมบูรณ์ของการซ่อมอากาศยานกรณีกองบินตำรวจส่งเครื่องบินลำดังกล่าวร่วมกับบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด รวมถึงการตรวจพินิจความเรียบร้อยหลังการซ่อมก่อนนำส่งกองบินตำรวจเพื่อใช้ในราชการต่อไป จำเลยที่ 9 เป็นบุคคลผู้ปฏิบัติงานในบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดำรงตำแหน่งผู้จัดการกองซ่อมบำรุงอากาศยานตำรวจ มีหน้าที่ดูแลนโยบายภาพรวมของการซ่อมบำรุงอากาศยานของกองบินตำรวจให้เป็นไปตามข้อตกลงเงื่อนไขในสัญญาจ้างระหว่างบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กับกองบินตำรวจ ดำเนินการด้านบริหารจัดการในการออกใบสั่งซื้อและสั่งซ่อมตามความต้องการซื้อและซ่อมและแก้ไขขัดข้องสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มที่ติดตั้งภายในเครื่องบินลำดังกล่าว
โดยขณะเกิดเหตุคดีนี้ระหว่างวันที่ 27 กันยายน 2556 ถึงวันที่ 5 มีนาคม 2557 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงาน ของรัฐ พ.ศ.2502 ได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกันโดยได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่วมกันสนับสนุนและเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในเรื่องการตรวจซ่อมและแก้ไขข้อขัดข้องสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มที่ติดตั้งภายในเครื่องบินแบบคาซ่า (CN 235) หมายเลข 28053 นอกจากนั้นระหว่างวันที่ 27 กันยายน 2556 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2557 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 กระทำด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2557 เวลากลางวัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยกองบินตำรวจนำเครื่องบินลำดังกล่าวไปปฏิบัติภารกิจฝึกโดดร่มของนักเรียนนายร้อยตำรวจที่ค่ายนเรศวร ต.ชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
ซึ่งขณะกระโดดร่มนั้นสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มหลุดจากตัวยึดสลิงฝั่งซ้ายและขวาด้านหัวเครื่องบิน ทำให้สลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มไม่กระตุกสายร่มเพื่อดึงร่มให้กาง เป็นเหตุให้นักเรียนนายร้อยตำรวจ ช. และนักเรียนนายร้อยตำรวจ ณ. ถึงแก่ความตาย นักเรียนนายร้อยตำรวจ ก. ได้รับอันตรายสาหัสและนักเรียนนายร้อยตำรวจ จ. ได้รับรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 91, 157, 291, 300, พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 11 จำเลยที่ 1 ถึง 9 ให้การปฏิเสธ
ต่อมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 มีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 (เดิม) และฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 (เดิม) การกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุกคนละ 4 ปี โดยพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 ในข้อหาอื่นและให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในทุกข้อหา
โดยโจทก์ โจทก์ร่วมที่ 1 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์จำเลยที่ 5 และที่ 7 ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 7 ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) ให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 7 ออกจากสารบบความ
สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 8 ถึงที่ 9 ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 6 เป็นผู้ดำเนินการหาแหล่งซ่อมสร้างสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่ม โดยจำเลยที่ 5 หาแหล่งจัดซื้อจัดหาสลิงให้ ซึ่งสลิงที่จำเลยที่ 5 จัดหามาไม่มีใบทดสอบแรงตึง และในวันที่ 4 มีนาคม 2557 ได้ติดตั้งสลิงดังกล่าว ต่อมาวันที่ 6 มีนาคม 2557 จำเลยที่ 6 ทำการบินทดสอบเครื่องบินหลังเกิดเหตุและลงลายมือชื่อรับรองการซ่อมบำรุงไว้ และในส่วนสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มนั้นจำเลยที่ 6 ตรวจดูเพียงว่ามีการติดตั้งเรียบร้อยแล้วหรือไม่ มิได้ตรวจดูรายละเอียดทั้งที่รู้ว่าสลิงดังกล่าวเป็นสลิงที่จัดทำขึ้นไม่มีใบทดสอบแรงตึง หลังจากนั้นวันที่ 11 มีนาคม 2557 สลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มที่สั่งซื้อจากประเทศสเปนถูกส่งมอบและเก็บเข้าคลังพัสดุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 6 ติดตามหรือสั่งการให้นำสลิงที่จัดส่งมาใหม่ซึ่งมีมาตรฐานสูงกว่าติดตั้งแทนสลิงเดิมให้ครบทั้งสองด้าน ทั้งที่จำเลยที่ 6 เข้าใจดีว่าสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มมีความสำคัญต่อความปลอดภัยในการกระโดดร่ม อันเป็นการที่จำเลยที่ 6 ย่อมเล็งเห็นได้ว่าสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มที่ไม่มีมาตรฐานสำหรับอากาศยานซึ่งติดตั้งไว้แล้วอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตของนักกระโดดร่ม การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือผู้หนึ่งผู้ใด
ส่วนของจำเลยที่ 8 นั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 8 ทราบอยู่แล้วว่าสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มที่ทำมาในตอนแรกเส้นสลิงยาวไปและต้องส่งกลับไปแก้ไขให้สั้นลงแล้วนำมาติดตั้งใหม่ สลิงดังกล่าวไม่มีใบรับรองพัสดุและไม่มีคู่มือในการติดตั้งเฉพาะ จำเลยที่ 8 ซึ่งเป็นช่างอากาศยานสังกัดกองบินตำรวจ ย่อมทราบดีว่าสลิงที่ต้องมีการตัดออกและต่อเข้าในหัวสลิงใหม่เพื่อแก้ไขความยาวไม่มีใบทดสอบแรงตึง ไม่มีใบรับรองพัสดุ และไม่มีคู่มือการติดตั้งเฉพาะ เป็นลักษณะของสลิงที่ไม่มีมาตรฐานสำหรับอากาศยาน ไม่เหมาะแก่การนำไปใช้ในการกระโดดร่มแบบสายกระตุกคงที่ซึ่งต้องอาศัยสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มเป็นสำคัญ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 8 ท้วงติงหรือโต้แย้งในการใช้สลิงดังกล่าวเพื่อเป็นสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มและยังดูแลการติดตั้งสลิงดังกล่าวภายในเครื่องบินลำเกิดเหตุ การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บริษัทอุตสาหกรรมการบิน จำกัด หรือผู้หนึ่งผู้ใด
ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นช่างอากาศยาน ย่อมต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในอากาศยานเป็นอย่างดีว่าต้องมีความปลอดภัยและมีมาตรฐานสูงมาก การที่ไม่ท้วงติงหรือโต้แย้งในการที่จะใช้สลิงดังกล่าวเป็นสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่ม ทั้งที่ทราบว่าไม่มีใบรับรองพัสดุและไม่มีคู่มือการติดตั้งเฉพาะสำหรับสลิงดังกล่าว จึงถือว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เพิกเฉยและละเลยหน้าที่ที่สำคัญอย่างยิ่งจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ในส่วนของจำเลยที่ 9 เป็นผู้ร่วมลงนามในการสั่งซื้อสลิงดังกล่าวจากประเทศสเปนและมีหน้าที่รับผิดชอบจัดหาสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มที่ติดตั้งภายในเครื่องบินหลังเกิดเหตุในฝ่ายของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และยืนสังเกตการณ์ในการติดตั้งสลิงบนเครื่องบินลำเกิดเหตุ ซึ่งการติดตั้งดังกล่าวทำในวันที่ 4 มีนาคม 2557 นั้น สลิงที่สั่งซื้อส่งมาเพียงเส้นเดียวคือเส้นที่มาถึงและเก็บเข้าคลังพัสดุของกองบินตำรวจแล้วเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งจำเลยที่ 9 ย่อมต้องทราบว่า สลิงที่กำลังติดตั้งอยู่นั้น มีอย่างน้อย 1 เส้น ที่ไม่ใช่เป็นสลิงที่สั่งซื้อมาจากประเทศสเปน การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานในหน่วยงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502
การกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 จึงเป็นการกระทำโดยประมาท ละเลยในเรื่องมาตรฐานของสลิง และมาตรฐานในการติดตั้งสลิงดังกล่าว ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าสลิงสำหรับการกระโดดร่มเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการกระโดดร่มแบบสายกระตุกคงที่ โดยเฉพาะจำเลยที่ 6 ซึ่งทราบอยู่แล้วว่าจะมีการนำเครื่องบินหลังเกิดเหตุไปใช้ในการกระโดดร่มของนักเรียนในร้อยตำรวจชั้นปีที่ 2 ในวันที่ 31 มีนาคม 2557 แต่จำเลยที่ 6 กลับไม่ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสลิงที่ติดตั้งไว้มีความแข็งแรงพอที่จะใช้เป็นสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มหรือไม่ ทั้งไม่ติดตามนำสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มที่สั่งซื้อมาจากประเทศสเปนซึ่งมีมาตรฐานมาติดตั้งแทนสลิงที่ติดตั้งไว้แล้ว จึงถือว่ามีความประมาทเป็นอย่างมาก
ส่วนจำเลยที่ 9 ซึ่งละเลยไม่ติดตามนำสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มที่สั่งซื้อมาจากประเทศสเปนมาติดตั้งภายในเครื่องหลังเกิดเหตุให้ครบถ้วนทั้งที่มีหน้าที่ตามสัญญาในฐานะเป็นผู้รับจ้างและหน้าที่ตามข้อตกลงที่จะประสานกับกองบินตำรวจในการจัดหาสลิงสำหรับสายกระโดดร่มที่ติดตั้งภายในเครื่องบินหลังเกิดเหตุ โดยยอมให้มีการติดตั้งสลิงสำหรับยึดสายกระโดดร่มที่ไม่มีมาตรฐาน มาติดตั้งถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นักเรียนนายร้อยตำรวจถึงแก่ความตายและบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 ที่ 8 และที่ 9 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 (เดิม), 300 (เดิม) จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 อีกบทหนึ่ง จำเลยที่ 6 และที่ 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) อีกบทหนึ่ง และจำเลยที่ 9 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 อีกบทหนึ่ง
การกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 ที่ 8 และที่ 9 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดให้จำคุก 5 ปี
จำเลยที่ 8 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดให้จำคุก 5 ปี จำเลยที่ 9 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 5 ปี
ทางไต่สวนของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 8 และที่ 9 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 6 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดให้จำคุก 6 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลขั้นต้น
ทั้งนี้ จำเลยยื่นขอปล่อยชั่วคราวในชั้นฎีกา ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 ที่ 8 และที่ 9 ในระหว่างฎีกา โดยศาลตีราคาหลักประกันคนละ 260,000 บาท