เจาะลึก 3 กลยุทธ์ Q Fresh ดันยอดขายสู่ 500 ล้านบาท! ผู้นำตลาด Ready to Eat

อัพเดต 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ภาพไฮไลต์

ด้วยสังคมเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ชีวิตผู้คนที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ ทำให้ผู้บริโภคมีเวลาจำกัดในการเตรียมอาหาร จึงไม่แปลกที่ “อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง” จะกลายมาเป็นทางเลือกหลัก เนื่องจากสะดวกและรวดเร็วในการบริโภค และหากกล่าวถึงแบรนด์อาหารแช่แข็งในประเทศไทย แน่นอนว่า ชื่อของคิวเฟรช (Q fresh) คงเป็นหนึ่งในชื่อแรกๆ ที่ผู้คนนึกถึง

โดย แบรนด์คิวเฟรช (Q fresh) ถือเป็นผู้นำตลาดอาหารทะเลแช่แข็งในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มไทยยูเนี่ยน ผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารทะเลแช่แข็งมายาวนานกว่า 40 ปี และเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับโลก ซึ่งคิวเฟรชทำตลาดทั้งลูกค้าทั่วไป (B2C) และลูกค้าองค์กร (B2B) ก่อตั้งเมื่อปี 2560 ล่าสุดได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 แห่งการเติบโตอย่างมั่นคง

3 กลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนการเติบโต

พนิตตา มิ่งสูงเนิน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด แบรนด์คิวเฟรช กล่าวว่า เป้าหมายของคิวเฟรช คือการเติบโตจากยอดขาย 300 ล้านบาท เป็น 500 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 66% ภายในปี 2571

โดยใช้ 3 กลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนการเติบโต

1.Customer Centricity หรือการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกจากการวิจัยตลาด และการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคมาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ อย่างเช่น เทรนด์ความต้องการของ Gen Z

2.Customer Segment Expansion การขยายฐานลูกค้า โดยใช้ดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อเสียงสะท้อนของผู้บริโภคได้แบบเรียลไทม์

3.Strategic Partnership & Co-Innovation หรือการสร้างสรรค์นวัตกรรมผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อตอบรับเทรนด์การบริโภคที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา อย่างเช่นที่ผ่านมาคือการจับมือกับเชฟปิง หรือแม้กระทั่งการจับมือกับแบรนด์ต่างๆ อาทิ สุกี้ตี๋น้อย, MK ฯลฯ

“เราพยายามเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น เพราะจากข้อมูลพบว่าตลาดร้านอาหารในประเทศภาพรวมหดตัวราว 8-10% ดังนั้นบริษัทฯ จึงหันมาโฟกัสในเรื่องของ everyday food มากขึ้น สอดคล้องกับผลสำรวจผู้บริโภค ที่พบว่ากลุ่มเป้าหมาย Gen Z นิยมอาหารที่ปรุงง่ายและสะดวก โดยเฉพาะอาหารทะเลแช่แข็งที่สามารถอุ่นในไมโครเวฟได้ทันที ผลสำรวจยังเผยอีกว่ากุ้งต้มแช่แข็งเป็นวัตถุดิบที่ได้รับความนิยมสูงสุด ตามมาด้วยเมนูปลาหมึกซึ่ง Q Fresh ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้มากนัก สิ่งนี้จึงเป็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้มากขึ้น”

ชู Hot Item กุ้งต้มแช่แข็ง ยอดขายพุ่ง 30 ล้านบาทใน 3 เดือน

พนิตตา กล่าวต่อไปว่า เพื่อขยายฐานลูกค้า Q Fresh ได้ปรับกลยุทธ์โดยเน้นช่องทางดิจิทัล โดยเฉพาะ TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่ม Gen Z บริษัทเริ่มทำ TikTok Live และร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง แก้มบุ๋ม ซึ่งการไลฟ์เพียง 1 ชั่วโมง สามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 70,000 บาท แสดงให้เห็นถึงพลังของอินฟลูเอนเซอร์ในการเข้าถึงและกระตุ้นยอดขาย โดยที่ยอดขายหลัง 90% ยังคงมาจากโมเดิร์นเทรด ส่วน 10% มาจากช่องทางอีคอมเมิร์ซ

นอกจากนี้ Q Fresh ยังใช้กลยุทธ์ "Hot Item" ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ในจำนวนจำกัด (Limited Time Offer) อย่าง "กุ้งต้มปอกหาง" ที่ขายเพียง 3 เดือน แต่ทำยอดขายได้ถึง 30 ล้านบาท ซึ่งความสำเร็จนี้ชี้ให้เห็นว่าการสร้างกระแสเป็นสิ่งสำคัญ และหากผลิตภัณฑ์ใดได้รับกระแสตอบรับที่ดี ก็มีโอกาสที่จะถูกบรรจุเป็นสินค้าถาวรในห้างสรรพสินค้าได้

“ที่ผ่านมา เรามีการจับมือกับพันธมิตรร้านอาหารระดับพรีเมียมเพื่อรังสรรค์เมนูที่สอดรับกับกระแส Chef’s Table และไฟน์ไดน์นิ่ง อย่างไรก็ดี ปัจจุบันอาหารประเภทสตรีทฟู้ดกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เนื่องจากเป็นอาหารที่เข้าถึงง่าย รับประทานได้ทุกวัน และมีตัวเลือกที่หลากหลาย คิวเฟรช จึงได้ปรับกลยุทธ์โดยมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่ม Ready to cook - Value-added ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก และในโอกาสครบรอบ 8 ปี รวมทั้งการจับมือกับพันธมิตร 8 ร้านดัง เพื่อรังสรรค์เมนูพิเศษที่ใช้วัตถุดิบจากคิวเฟรช” พนิตตา กล่าว

TU ตั้งเป้ายอดขายสู่ 5,000 ล้านบาทใน 3 ปี

ธนโชติ บุญมีโชติ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจกุ้ง บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง ธุรกิจโดยรวมของ Thai Union Group ที่ล่าสุดได้มีการตั้งเป้ายอดขายจาก 4,000 ล้านบาทในปัจจุบัน สู่ 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2571

ซึ่งไทยยูเนี่ยนมียอดขายอาหารแช่แข็งจากในประเทศและต่างประเทศราว 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดต่างประเทศ 10,000 ล้าน ตลาดในไทยราว 4,000 ล้าน โดยยอดขายอันดับหนึ่งมาจาก สหรัฐอเมริกา รองลงมาคือ ไทย ญี่ปุ่น ยุโรป และเกาหลี ตามลำดับ โดยที่ผลิตภัณฑ์ส่งออก หลักๆ คือ “กุ้ง” รองลงมาคือ แซลมอนและอาหารพร้อมทาน

ในปี 2567 พอร์ตธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งภายใต้กลุ่มไทยยูเนี่ยนนั้นประกอบด้วย 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ กุ้ง (สัดส่วน 59%) แซลมอนและปลากะพง (สัดส่วน 21%) อาหารสำเร็จรูปแช่แข็งพร้อมทาน (สัดส่วน 18%) และซีฟู้ดสแน็ค (สัดส่วน 2%) ซึ่งมีการดำเนินธุรกิจทั้งในรูปแบบรับจ้างผลิต (Private Label) และภายใต้แบรนด์ของบริษัทเองอย่างคิวเฟรช

ปัจจุบันธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งในประเทศไทยมีการเติบโตต่อเนื่องและมีฐานลูกค้าครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจค้าส่ง รีเทล โมเดิร์นเทรด ร้านอาหาร โรงแรม โรงงาน ไปจนถึงอีคอมเมิร์ซ โดยผลิตภัณฑ์ได้รับการพัฒนาให้มีความหลากหลาย ทั้งอาหารประเภทพร้อมปรุง (Ready to Cook) และอาหารพร้อมทาน (Ready to Eat) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ

ทั้งนี้ สัดส่วนของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งของแบรนด์คิวเฟรช ปัจจุบันประกอบด้วยกุ้ง 42% และผลิตภัณฑ์อาหารทะเลอื่นๆ เช่น แซลมอน ปลากะพงขาว ฮามาจิ และหอยเชลล์ รวมกันอีก 58% ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายของพอร์ตผลิตภัณฑ์และศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจในอนาคต

“สำหรับปัจจัยที่ยังให้ความสำคัญและต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด คือเรื่องของค่าเงิน นโยบายภาษีของสหรัฐ รวมทั้งความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศ ทำให้บริษัทต้องโฟกัสตลาดที่มีโอกาสในการเติบโต” ธนโชติ กล่าวทิ้งท้าย

ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่

https://www.thairath.co.th/money/business_marketing

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เจาะลึก 3 กลยุทธ์ Q Fresh ดันยอดขายสู่ 500 ล้านบาท! ผู้นำตลาด Ready to Eat