สศอ. ปรับประมาณการดัชนีเอ็มพีไอปี 2568 เหลือ 0-0.5% จาก 0-1%
สศอ. ปรับประมาณการดัชนีเอ็มพีไอปี 2568เหลือ 0-0.5%จากเดิมคาดไว้ 0-1%หวังปัจจัยบวกหนุนคงเป้าจีดีพีอุตสาหกรรม 0.5-1.5%
28 ส.ค. 2568 - นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 0.53% ผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) อุตสาหกรรม ขยายตัว 1.70% ส่วนภาพรวม 7 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.2568) ดัชนีเอ็มพีไอหดตัว 0.70% โดย สศอ. ได้ประมาณการ ดัชนีเอ็มพีไอ ปีนี้ทั้งปีขยายตัว 0-0.5% ลดลงจากเดิมคาดไว้ที่ 0-1% แต่ยังคงประมาณการจีดีพีอุตสาหกรรมอยู่ที่ 0.5-1.5%
“แม้จะมีปัจจัยกดดันมาจากความไม่แน่นอนของนโยบายด้านเศรษฐกิจ และมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ ความสามารถในการแข่งขันที่ชะลอตัวลง ปัญหาหนี้ครัวเรือนและการบริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัว และภาคการท่องเที่ยวมีทิศทางชะลอตัวต่อเนื่อง แต่ในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี 2568 ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การค้าระหว่างประเทศของไทยกับคู่ค้าหลักยังมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง การผ่อนคลายนโยบายการเงิน ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นปัจจัยบวก”
นายภาสกร กล่าวว่า ที่สำคัญผลการเจรจาภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐ ที่ไทยได้อัตราภาษี 19% ต่ำกว่าหรืออยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ทำให้ไทยยังคงสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้
สำหรับดัชนีเอ็มพีไอเดือนก.ค.2568 อยู่ที่ระดับ 93.34 หดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.98% เนื่องจากรับแรงกดดันจากการผลิตรถยนต์หดตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าในภาคอุตสาหกรรม
ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 57.37% ซึ่งเป็นผลมาจากการผลิตรถยนต์กลับมาหดตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ รถยนต์ไฮบริดไม่เกิน 1,800 ซีซี และรถยนต์นั่งขนาดเล็ก เนื่องจากมีผู้ผลิตรายใหญ่หยุดการผลิตชั่วคราวเพื่อย้ายโรงงาน ประกอบกับผู้ผลิตบางรายปรับลดปริมาณการผลิตรถยนต์สันดาปลงตามคำสั่งซื้อ และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ คือ โรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ 1 ราย หยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ตามแผนประจำปี
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการมีการนำสินค้าในสต็อก (Inventory) ออกมาขาย เนื่องจากดูท่าทีผลของการเจรจาภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมถึงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของสินเชื่ออุปโภคบริโภค สินเชื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิตยังคงปรับเพิ่มขึ้น ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าภาคอุตสาหกรรม รวมถึงความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลง อีกทั้ง นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศชะลอตัว ส่งผลต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหารแช่แข็ง ไส้กรอก กระเป๋าเดินทาง รองเท้ากีฬา และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในเดือนส.ค.2568 ยังต้องเฝ้าระวัง ปัจจัยในประเทศส่งสัญญาณชะลอตัว จากผลของกำลังซื้อในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมทั้งความเชื่อมั่น ด้านคำสั่งซื้อที่ลดลงจากความกังวลต่อผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐ ด้านปัจจัยต่างประเทศภาพรวมส่งสัญญาณเฝ้าระวังเช่นกัน จากการนำเข้าในบางประเทศหดตัวลง และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขั้นสุดท้ายหดตัวลงตามอุปสงค์ที่ลดลง