คนไทยหนี้ท่วมแต่เด็กยันแก่! เฉลี่ย5แสนบาท/คน NPLsพุ่ง-เศรษฐกิจไม่โต
หนี้ครัวเรือนกำลังกลายเป็นเงามืดที่ทับถมเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง เมื่อสัดส่วนหนี้ต่อ GDP พุ่งทะลุ 90% และไม่ใช่แค่ตัวเลขที่สูงติดอันดับโลก แต่ยังสะท้อนความเปราะบางเชิงโครงสร้างอย่างลึกซึ้ง คนไทยจำนวนมากเริ่มก่อหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย และยังต้องแบกภาระไปจนถึงวัยเกษียณ โดยหนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่การลงทุนเพื่ออนาคต แต่เป็นหนี้เพื่อการบริโภคที่กัดกินศักยภาพการเติบโตในระยะยาว
บนเวทีเสวนา “Household Debt and Financial Vulnerability” ในงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges ก้าวข้ามความท้าทาย สู่โอกาสการลงทุนใหม่ จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณ กรุงเทพฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและสถาบันการเงินระดับแนวหน้าพร้อมใจกันชี้ว่า หนี้ครัวเรือนคือปัญหาเร่งด่วนที่ไม่อาจแก้ด้วยมาตรการชั่วคราว หากแต่ต้องอาศัยการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและกลไกใหม่ ๆ ที่ครอบคลุมทั้งระบบเศรษฐกิจ
การเสวนามีทั้งเสียงเตือนและแนวทางแก้ไขจากผู้กำหนดนโยบายและภาคเอกชน ได้แก่ ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส จากธปท., ดร.ลัษมณ อรรถาพิช จากเครดิตบูโร, นายผยง ศรีวณิช จากสมาคมธนาคารไทย และดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร จาก BAM ที่ต่างสะท้อนมุมมองร่วมกันว่า หากประเทศไทยยังปล่อยให้หนี้ทับซ้อนบนฐานเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ทั้งการเติบโตและเสถียรภาพการเงินย่อมสั่นคลอน แต่หากทุกฝ่ายร่วมมืออย่างจริงจัง โอกาสในการพลิกวิกฤติครั้งนี้ให้เป็นแรงขับเคลื่อนการปฏิรูปก็ยังไม่สายเกินไป
หนี้ครัวเรือนไทย ก่อหนี้เร็ว ติดหนี้ยาว ใช้หนี้เพื่อบริโภค
ปัจจุบัน สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ยืดเยื้อและซับซ้อน โดยระดับหนี้ต่อ GDP ปัจจุบันสูงเกิน 90% ตัวเลขนี้ไม่เพียงสะท้อนภาระที่กดทับครัวเรือนแต่ละราย แต่ยังสะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่เปราะบางในหลายมิติ
ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย อธิบายว่า หนี้ครัวเรือนไทยมีลักษณะเฉพาะที่น่ากังวล เพราะผู้ก่อหนี้จำนวนไม่น้อยเป็นคนวัยเริ่มทำงาน (22-29 ปี) กว่าครึ่งหนึ่งมีหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย และเกือบหนึ่งในสี่เริ่มเผชิญปัญหาการชำระหนี้ตั้งแต่ต้น ขณะเดียวกันยังพบว่าผู้สูงอายุจำนวนมากยังคงมีภาระหนี้ติดตัวแม้เข้าสู่วัยเกษียณแล้ว
สถานการณ์นี้สะท้อนโครงสร้างหนี้ที่เปราะบางอย่างยิ่ง เนื่องจากส่วนใหญ่เป็น “หนี้เพื่อการบริโภค” ไม่ใช่หนี้ที่มุ่งสร้างรายได้หรือการลงทุน ซึ่งหมายความว่าหนี้เหล่านี้ไม่ได้ช่วยเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว แต่กลับกลายเป็นภาระที่ฉุดรั้งความมั่นคงทางการเงินของครัวเรือนไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ
งานวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า ประชากรไทยกว่า 38% มีหนี้ในระบบทางการ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ราว 500,000 บาทต่อคน แต่หนี้นอกระบบอาจสูงกว่านี้มาก และแทบไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ทั้งยังเป็นปัญหาที่สร้างวงจรอุบาทว์ เพราะครัวเรือนจำนวนมากเมื่อขาดรายได้หลัก ไม่ว่าจะจากการเจ็บป่วยหรือการตกงาน ก็มักจะหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยสูง และยิ่งทำให้หลุดออกจากระบบทางการไปมากขึ้น
ดร.รุ่ง อธิบายเพิ่มเติมว่า ปัญหานี้สะท้อนถึงโครงสร้างที่เปราะบางในหลายด้าน ทั้งความรู้ทางการเงินที่ยังต่ำ การจัดการรายได้และรายจ่ายที่ไม่สมดุล รวมถึงช่องโหว่ด้านข้อมูลและความโปร่งใส ซึ่งเป็นเหตุผลที่ธปท. พยายามยกระดับการเปิดเผยข้อมูลและการสื่อสารกับลูกหนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้น ปัจจัยเชิงโครงสร้างก็ยังคงกดดัน เช่น รายได้ที่ฟื้นตัวช้าหลังโควิด เศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ และโครงสร้างประชากรที่กำลังแก่ตัวลงซึ่งไม่เอื้อต่อการเติบโต ขณะเดียวกัน ระบบสวัสดิการสังคมก็ยังไม่ครอบคลุมพอ เมื่อผู้หารายได้หลักสะดุด ครอบครัวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการกู้ยืม
ดร.รุ่งยังชี้ว่า อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญคือ “การขาดข้อมูล” ที่ทำให้หลายครัวเรือนถูกผลักไปสู่นอกระบบ และการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ในระบบก็ยังไม่แม่นยำพอ ขณะเดียวกัน สิ่งนี้ก็เปิดพื้นที่ให้กับการสำรวจแนวทางใหม่ ๆ เช่น ความพยายามที่จะนำหนี้นอกระบบเข้าสู่ระบบทางการ แม้จะเป็นโจทย์ที่ยากและท้าทาย แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ยังสะท้อนถึง “โอกาสทางธุรกิจ” หากสามารถสร้างกลไกใหม่ ๆ เพื่อรับมือได้สำเร็จ
หนี้ครัวเรือนไทยทรงตัว แต่ NPL พุ่ง สัญญาณวิกฤตปะทุ
ด้าน ดร.ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) อธิบายสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในไทยว่า ฐานข้อมูลสิ้นไตรมาส 2 ปีนี้สะท้อนยอดหนี้ครัวเรือนในระบบที่ 13.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นราว 80% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมดในประเทศ โดยเป็นหนี้ในระบบ ไม่รวมภาคนอกระบบ แม้ยอดรวมเริ่ม “ทรงตัว” (plateau) หลังจากเติบโตต่อเนื่อง แต่ไม่ได้หมายความว่าปัญหาหายไป หากพิจารณาแนวโน้มกราฟแสดงหนี้ครัวเรือนจะเห็นชัดว่าการขยายตัวหยุดชะงัก และคำถามสำคัญคือ “อะไรจะตามมา” ซึ่งคำตอบตรงไปตรงมาคือ ภาระไม่ได้ลดลง และความเสี่ยงยังคงอยู่
ในเชิงโครงสร้าง หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่ยังคงเป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งถือว่ายังเป็น “หนี้เพื่อทรัพย์สิน” ที่รับได้ แต่ที่น่ากังวลคือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ขยายตัวต่อเนื่องจนกลายเป็นก้อนใหญ่ลำดับสอง ขณะที่สินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อเกษตรกลับหดตัว โดยสินเชื่อเกษตรแม้จะเป็นหนี้เชิงอาชีพแต่กลับไม่ได้เติบโต สะท้อนเศรษฐกิจฐานรากที่ไม่ฟื้นเต็มที่ ส่วน “นาโนไฟแนนซ์” พุ่งสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะมีผู้ให้บริการรายใหม่เข้ามาในระบบ แต่แม้ไม่รวมรายใหม่ก็ยังเห็นการเติบโตต่อเนื่องอยู่ดี ซึ่งเป็นสัญญาณให้จับตาอย่างยิ่ง เพราะสะท้อนแรงกู้ยืมในระดับวงเงินเล็กที่แพร่หลาย
สิ่งที่สะท้อนปัญหาชัดเจนคือจำนวนบัญชีหนี้ที่เพิ่มขึ้น แม้ยอดรวมจะคงที่ แต่ผู้กู้ยังกู้ต่อ เพียงแต่กู้วงเงินเล็กลงเรื่อย ๆ หมายความว่าหนี้กำลังกระจายกว้างขึ้นในสังคมไทย เมื่อดูคุณภาพหนี้จะพบว่า NPL หรือหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน อยู่ที่ 10.4% ของจำนวนบัญชี และ 9% ของมูลค่ารวม แนวโน้มยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้หนี้จัดชั้นเฝ้าระวัง (special mention) จะลดลง แต่เป็นเพียงวัฏจักร ซึ่งมีโอกาสกลับมาสูงขึ้นในอนาคต
ในรายละเอียด NPL ส่วนใหญ่ยังคงมาจากสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อรถยนต์ โดยบริษัทไฟแนนซ์จำนวนมากยอมรับว่าธุรกิจแทบไม่โตและ NPL เร่งตัวขึ้น สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือการเพิ่มขึ้นของ NPL ในสินเชื่อบ้าน ซึ่งตามธรรมเนียม คนไทยมักรักษาสัญญากู้บ้านไว้สุดท้าย แต่ปัจจุบันกลับเห็นการผิดนัดชำระในสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้น ถือเป็นสัญญาณความเปราะบางที่น่ากังวลอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพครัวเรือนไทย
รากฐานเศรษฐกิจไทยเปราะบางจากเศรษฐกิจนอกระบบและการกระจุกตัว
ด้าน นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย อธิบายว่า หนี้ครัวเรือนเปรียบเสมือน “ชั้น” ที่ซ้อนอยู่บนรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งรากฐานนี้มีความเปราะบางมาตั้งแต่ต้น ข้อมูลจาก World Bank ระบุว่า เศรษฐกิจนอกระบบมีสัดส่วนสูงถึง 48% ของระบบเศรษฐกิจ ขณะที่แรงงานนอกระบบคิดเป็น 53% ของประชากร 68-69 ล้านคน แต่มีผู้ยื่นภาษีเพียง 11 ล้านคน และมีเพียง 4 ล้านคนที่ชำระจริง ซึ่งสะท้อนฐานภาษีที่แคบและไม่เพียงพอต่อการรองรับความต้องการทางการคลังในอนาคต นั่นหมายความว่าประชากรส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาการสนับสนุนและสวัสดิการจากรัฐบาล
เมื่อมองไปที่โครงสร้าง SME พบว่ามีสัดส่วนเพียง 28% ของเศรษฐกิจทางการ แต่กลับจ้างงานมากถึง 70% ของแรงงานทั้งหมด ขณะที่บริษัทเพียง 1% สร้าง GDP ได้ถึง 65% หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ธุรกิจขนาดใหญ่มีบทบาทครอบงำเศรษฐกิจ ขณะที่ SME รับภาระการจ้างงานมหาศาลแต่สร้างมูลค่าเพิ่มได้น้อย โครงสร้างเช่นนี้ส่งผลให้เกิดรายได้ต่ำ ความเหลื่อมล้ำสูง ธรรมาภิบาลที่ด้อยมาตรฐาน ผลิตภาพแรงงานต่ำ และขีดความสามารถในการรับมือกับแรงกระแทกจากภายนอกที่จำกัด
นายผยงชี้ว่า แม้ไทยจะมีสถาบันการเงินกว่า 3,000 แห่ง ครอบคลุมตั้งแต่ธนาคารพาณิชย์ นอนแบงก์ สหกรณ์ เครดิตยูเนียน ไปจนถึงโรงรับจำนำ แต่การแข่งขันยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะใน “last mile” ที่ประชาชนจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้จริง ปัญหานี้สะท้อนว่าเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจยังไม่สามารถเชื่อมโยงประชาชนทุกกลุ่มเข้าสู่ระบบการเงินที่เป็นทางการได้
ในมิติของหนี้ครัวเรือน ข้อมูลจากสำนักงานเครดิตแห่งชาติ (NCB) ที่อ้างโดย ดร.ลัษมณ ชี้ว่า NPL มีการกระจุกตัวสูง โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มทำงาน หนี้เสียจำนวนมากเกิดขึ้นในสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อบุคคล ขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยยังคงแบกหนี้แม้เข้าสู่วัยเกษียณ และต้องพึ่งพาแหล่งเงินนอกระบบเพื่อดำรงชีวิตต่อไป
สิ่งที่น่ากังวลคือ หนี้นอกระบบที่แท้จริงยังไม่มีข้อมูลชัดเจน แต่จากงานวิจัยร่วมระหว่างธนาคารกรุงไทยกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าหนี้นอกระบบสุทธิอยู่ที่ 14% และที่สำคัญมีครัวเรือนถึง 13% ที่มีสถานะทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้นอกระบบไปพร้อมกัน สะท้อนถึงวงจรหนี้ที่บิดเบี้ยวและแสดงให้เห็นว่าระบบการเงินอย่างเป็นทางการยังไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มประชาชนบางส่วนได้
ทั้งหมดนี้ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีรากฐานที่เปราะบาง ไม่เพียงเพราะฐานภาษีและผลิตภาพต่ำ แต่ยังเพราะการพึ่งพาเศรษฐกิจนอกระบบสูง ความไม่เท่าเทียมทางรายได้ และการที่หนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบกลายเป็นภาระซ้อนทับอยู่บนฐานที่ไม่แข็งแรง หากต้องการแก้ไข นายผยงย้ำว่า “นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด” ในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและระบบการเงินให้ยั่งยืนและครอบคลุมอย่างแท้จริง
AMC โรงพยาบาลลูกหนี้และแสงสว่างปลายอุโมงค์
ด้าน ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM อธิบายว่า ภูมิทัศน์หนี้ของไทย “ไม่ง่าย แต่ยังมีความหวัง” เพียงแต่ไม่สามารถใช้มาตรการแบบเดิมที่เคยนำมาใช้เมื่อวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อกว่า 25 ปีก่อนได้อีกต่อไป
เขาเปรียบเทียบว่า หากลูกหนี้เปรียบเสมือนผู้ป่วย AMC ก็คือ “แพทย์” ที่ต้องเข้ามาดูแลรักษา ปัจจุบันไทยมีหนี้รวมประมาณ 2 ล้านล้านบาท โดยราว 40% เป็นหนี้ครัวเรือน ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งคือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และอีกครึ่งคือสินเชื่อที่ถูกจัดชั้นให้อยู่ในกลุ่มเฝ้าระวัง (Special Mention Loan) อย่างไรก็ตาม AMC จำนวน 86 แห่งทั่วประเทศ มีขีดความสามารถในการจัดการหนี้ได้เพียงปีละประมาณ 100,000 ล้านบาท หมายความว่าหากไม่มีการเพิ่มศักยภาพ อาจต้องใช้เวลาถึง 7-10 ปีในการจัดการหนี้ทั้งหมด
แต่หากสามารถเพิ่ม “hospital capacity” ของ AMC ให้มากขึ้น โดยการรวมศักยภาพของทุก AMC เข้าด้วยกัน จะสามารถจัดการหนี้ได้เพิ่มขึ้นอีกปีละ 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาลงเหลือเพียง 4-5 ปี สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงการเคลียร์หนี้เสียออกจากระบบ แต่คือการเปลี่ยนหนี้เสียให้กลับมาเป็น “สินเชื่อปกติ” (reperforming loans) ซึ่งเป็นเสมือนการรักษาผู้ป่วยให้หายขาด ลูกหนี้จะสามารถกลับเข้าสู่ระบบการเงิน ทำธุรกิจ และใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง
ดร.รักษ์ย้ำว่า สถานการณ์จริงไม่ได้เป็นเส้นตรง หากแต่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและพลวัต แต่สิ่งที่ต้องทำคือการหาทางออกเชิงระบบ ซึ่งปัจจุบัน AMC ทั้ง 86 แห่งกำลังหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานเครดิตแห่งชาติ (NCB) เพื่อหาทางออก ทั้งในรูปแบบการเพิ่มศักยภาพของ AMC เดิมที่มีอยู่ หรือการจัดตั้ง “National AMC” ที่สามารถรับบทบาทใหญ่ขึ้นได้
“นี่คือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ดร.รักษ์กล่าว พร้อมย้ำว่า หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน ไม่ว่าจะผ่านกลไก National AMC หรือการยกระดับศักยภาพของ AMC ที่มีอยู่ ก็สามารถสร้างโอกาสให้ลูกหนี้จำนวนมากได้รับการฟื้นฟูและกลับคืนสู่ระบบการเงินอย่างยั่งยืนได้ในที่สุด
ธปท. ดันโอเพ่นแบงก์กิ้ง/ NCB ปั้นระบบเตือนภัย แก้หนี้ครัวเรือน
สำหรับวิธีแก้ไขและบรรเทาปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย ดร.รุ่ง มองว่า การแก้หนี้ครัวเรือนต้องทำควบคู่กันทั้งในมิติระยะสั้นและระยะยาว
ในระยะสั้น ธปท. ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (accommodative) ไม่ใช่แค่ผ่านการกำหนดดอกเบี้ยนโยบาย แต่ยังรวมถึงการส่งผ่านไปสู่ดอกเบี้ยธนาคารที่เริ่มชัดเจนขึ้น พร้อมกับมาตรการบรรเทาภาระหนี้ของกลุ่มเป้าหมายที่ได้ออกมาแล้วหลายชุด เช่น การพักชำระหนี้และการปรับโครงสร้างหนี้เฉพาะกิจ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือ การลดความเสี่ยงด้านเครดิต เพราะหากสถาบันการเงินยังเห็นอนาคตไม่ชัดเจน โดยเฉพาะท่ามกลางแรงกดดันจาก มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ และการปรับซัพพลายเชนโลก พวกเขาย่อมไม่กล้าปล่อยกู้
สำหรับระยะยาว ดร.รุ่งย้ำว่า ประเทศไทยจะไม่สามารถ “ลดหนี้ออกจากระบบ” ได้อย่างยั่งยืนหากรายได้ของประชาชนไม่เพิ่มขึ้น การที่สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีชะลอลงในช่วงนี้เป็นสัญญาณที่ดี แต่ควรเกิดจาก “รายได้สูงขึ้น” มากกว่าการลดหนี้ลงเพียงอย่างเดียว แนวทางที่ธปท. ดำเนินการ ได้แก่ Your Data Project ที่ทำให้ลูกค้าเป็นเจ้าของและส่งต่อข้อมูลของตนได้เอง (ซึ่งเป็นเวอร์ชันไทยของ open banking) ขยายการใช้ข้อมูลไปถึงกลุ่มนอกระบบ เช่น ข้อมูลค่าน้ำ-ค่าไฟ เพื่อช่วยประเมินศักยภาพผู้กู้ อีกทั้งยังมีการเปิดให้ Virtual Banks เข้ามาแข่งขัน เจาะตลาดที่ underserved และการจัดทำ Regulatory Sandbox เพื่อทดสอบวิธีนำผู้กู้นอกระบบเข้าสู่ระบบการเงินที่ถูกกำกับดูแล โดยอาจต้องปรับกฎระเบียบบางอย่างเพื่อให้เหมาะสม
ด้านดร.ลัษมณ ย้ำว่า หัวใจของปัญหาคือ “รายได้และโครงสร้างเศรษฐกิจ” แต่ NCB สามารถช่วยได้ในมิติการจัดการข้อมูล เธออธิบายว่า บทบาทหลักของ NCB คือการให้ข้อเท็จจริงและตัวเลขแก่สถาบันการเงิน ผู้บริโภค และผู้กำหนดนโยบาย เพื่อเสริมสร้างสุขภาพทางการเงินและบริหารความเสี่ยงของระบบ
สิ่งที่ NCB กำลังพัฒนาคือระบบ Early Warning System เพื่อแจ้งเตือนความเสี่ยงให้แก่ทั้งธนาคารและผู้บริโภค รวมทั้งการตรวจจับพฤติกรรมทางการเงินที่ผิดปกติจากฐานข้อมูลเพื่อป้องกันการฉ้อโกง นอกจากนี้ NCB กำลังพิจารณาการใช้ ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) เช่น ค่าสาธารณูปโภค เพื่อช่วยประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ
เธอยอมรับว่า “ในโลกอุดมคติ หากทุกสถาบันการเงินเข้าร่วม NCB อย่างภาคบังคับ ข้อมูลจะครบถ้วนและทำให้เราสร้างเครื่องมือได้ดีกว่าเดิม” แต่ก็ต้องตระหนักถึงความเสี่ยงด้านคุณภาพและความปลอดภัยของข้อมูลที่ไม่ควรถูกลดทอน
สมาคมธนาคาร-BAM มุ่งอัดทุนสร้างธุรกิจโต เสริมศักยภาพ AMC แก้หนี้ยั่งยืน
ด้าน นายผยง มองว่า บทบาทหลักของธนาคารคือการจัดสรรสภาพคล่องไปยังภาคส่วนที่ก่อมูลค่าเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนต้องอิงกับ 5 หลักการสำคัญ ได้แก่ ความครอบคลุม ความเป็นธรรม สนามแข่งขันที่เท่าเทียม การแข่งขันที่เปิดกว้าง และการกู้ยืมที่มีคุณภาพ
นายผยงยกตัวอย่างว่า ในเชิงปฏิบัติ อุตสาหกรรมธนาคารได้ร่วมมือกับรัฐบาล กระทรวงการคลัง ธปท. สภาอุตสาหกรรม และหอการค้าไทย ผ่านโครงการ “You Fight, We Help” หรือคุณสู้เราช่วย เพื่อช่วยเหลือในระยะสั้น แต่เขาย้ำว่าโครงการนี้เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว สิ่งที่จำเป็นมากกว่าคือการปิดช่องโหว่ของ ระบบสวัสดิการสังคม ที่ยังไม่ทั่วถึง เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน การดูแลผู้สูงอายุ และค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน โดยล่าสุด กระทรวงการคลังได้ประกาศจะเริ่มเก็บ “ภาษีเงินได้ติดลบ” (Negative Income Tax) ภายในปี 2027 ซึ่งจะทำให้รัฐมีฐานข้อมูลด้านรายได้และความมั่งคั่งของประชาชน และสามารถออกมาตรการช่วยเหลือได้ตรงเป้ากว่าเดิม
ในระยะยาว นายผยงเน้นว่าประเทศต้อง “เพิ่มรายได้” ผ่านการสร้างงานที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยอาศัยความร่วมมือของธนาคาร ภาคธุรกิจเอกชน และแรงจูงใจจากภาครัฐ เช่น มาตรการภาษีและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พร้อมทิ้งท้ายว่า “การลดดอกเบี้ยเป็นเพียงเครื่องมือชั่วคราว ต้องมาพร้อมกับมาตรการเชิงโครงสร้างจึงจะเกิดผลยั่งยืน”
ด้าน ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการใหญ่ BAM อธิบายว่า ปัญหาของประเทศไทยคือ AMC ปัจจุบันศักยภาพไม่เพียงพอในการจัดการหนี้ของไทย ประเทศไทยมีผู้ปล่อยกู้กว่า 3,000 ราย แต่มีบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพียง 86 แห่ง หรือ “โรงพยาบาลหนี้” ที่ต้องรับภาระรวมกว่า 2 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นหนี้เสีย (NPL) 1 ล้านล้าน และหนี้จัดชั้นพิเศษ (Special Mention) อีก 1 ล้านล้าน
ดร.รักษ์เสนอแนวทางแก้ปัญหาสองชั้น ประการแรก คือการขยายขีดความสามารถของ AMC ที่มีอยู่ ผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ซึ่งจะช่วยให้ศักยภาพเพิ่มได้ถึงสามเท่า รวมถึงการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ เช่น การใช้รหัสบัญชี 054 สำหรับหนี้ที่กลับมาชำระได้ และการตั้งบริษัทร่วมทุน (JV) กับธนาคารที่เคยดำเนินการสำเร็จแล้ว เช่น โครงการร่วมกับ Ari และ Arun
ประการที่สอง คือการใช้กลไก AMC ที่มีอยู่แทนการจัดตั้ง “National AMC” ใหม่ โดยอาจให้ ARI-AMC ดูดซับหนี้ครัวเรือนจากสถาบันการเงินของรัฐ หรือให้ธนาคารหลายแห่งร่วมกันตั้ง AMC ของตนเอง ทั้งนี้ยังควรมีโครงการรวมกลุ่มหนี้ (Debt Pooling Program) การจัดระบบข้อมูลใหม่ และการสร้างธรรมาภิบาลด้านข้อมูลเพื่อให้เข้าถึงและแก้ปัญหาได้อย่างโปร่งใส
ดร.รักษ์ย้ำว่า AMC ต้องทำงานเชิงรุกและป้องกันไม่ให้หนี้จัดชั้นพิเศษบานปลายกลายเป็น NPL เพราะนั่นจะเพิ่มภาระให้ทั้งธนาคารและเศรษฐกิจโดยรวม