ถึงจังหวะลงทุน “หุ้นไทย” ราคถูก-ปันผลดี... ทำตลาดกลับมาน่าสนใจในสายตา “ต่างชาติ” ลุ้นดัชนีสิ้นปีทะยานแตะ 1,350 จุด !!!
สาระ Fund วันละนิด: วันนี้จะพามาส่อง “ตลาดหุ้นไทย” กันบ้าง หลัง “ภาษี Trump” ชัดเจนเคาะลงตัวที่ 19% นั้น ตลาดวิ่งรับความคาดหวังกันมาล่วงหน้าแล้ว
ปีนี้ “หุ้นไทย” (SET Index) ยังติดลบอยู่ -10.08% มาอยู่ที่บริเวณ 1,259.07 จุด ซึ่งถือว่าเป็นระดับเป้าหมายดชนีสิ้นปีของโบรกเกอร์และบลจ.หลายๆ แห่งในปีนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ก็ยังมี Upside สำหรับบางแห่งที่ให้เป้าที่สูงกว่านั้น เฉลี่ย 1,300 – 1,350 จุด !!!
โดยในเดือนส.ค. “ต่างชาติ” พลิกกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย 4.6 พันล้านบาท แต่ปีนี้ยังคงขายสุทธิอยู่ -5.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังคงต้องจับตาดูว่า “เงินไหลเข้าสุทธิ” ของกลุ่มนักลงทุนต่างชาตินี้จะเป็นการกลับมาจริงหรือชั่วคราวกันแน่
เพราะ “หุ้นไทย” เองก็มีราคา “ถูก” จนยากจะละเลย ในขณะที่ “อัตราเงินปันผล” ก็สูงจูงใจ
ปัจจุบัน “หุ้นไทย” มี Forward 12M P/E ที่ 12.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ 15.76% (ที่มา: Bloomberg, วันที่ 1 ส.ค. 25)
ทำไม? “หุ้นไทย”จึงกลับมาเป็นตลาดที่น่าสนใจอีกครั้ง ตามทีมงาน ‘Wealthy Thai’ ไปอัปเดตมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญพร้อมๆ กันได้เลย
“หุ้นไทย” กับ Story “ของถูก-ปันผลดี” ลุ้น “ต่างชาติ” กลับมาลงทุน…มองเป้าปีนี้มีลุ้นทะยานไกลถึง 1,300 – 1,350 จุด ถ้ามีการ “เปลี่ยนแปลงทางการเมือง”
โดย “ปิยะทัศน์ พาโสมนัสสกุล” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น บอกว่า “หุ้นไทย” ปัจจุบันน่าสนใจ มี Storyเด่นเลย คือ “ราคาถูก-ปันผลดี” ที่จะทำให้ “ต่างชาติ” กลับเข้ามาลงทุนได้ โดย “หุ้นไทย” Valuation ที่ถูก สะท้อนจาก Forward P/E ที่อยู่ระดับ 13-15 เท่าจากอดีตที่เคยอยู่บริเวณ 17-18 เท่า ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันเริ่มกลับมาทยอยซื้อหุ้นไทยและลดสัดส่วนการถือเงินสดลง ส่วนอีกปัจจัย คาดว่ามาจากนักลงทุนคาดหวังการเมืองไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ปมคลิปเสียงสนทนา ของ “แพรทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี กับ “ฮุนเซน” ที่นักลงทุนคาดหวังการเปลี่ยนแปลงทางการมือง ที่แม้จะไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะมีผลลัพธ์อย่างไรก็ตาม
(ปิยะทัศน์ พาโสมนัสสกุล)
“ช่วงครึ่งปีหลังเราปรับมุมมองตลาดหุ้นไทย จาก ‘Neutral’ เป็น ‘Slightly Overweight’ โดยมองกรณีดีสุด SET สิ้นปี25 อยู่ที่ 1,300-1,350 จุดได้ และสำหรับกรณีฐาน ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่เป็นแรงซื้อเพราะหุ้นไทยถูก ก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 1,250 – 1,270 จุด”
สำหรับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำกว่าศักยภาพ จากการประเมินของ “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” (IMF) ประเมินการเติบโตของ GDP ไทยจะโต 1.8% และ 1.6% ในปี25 และ 26 ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพของไทย นอกจากนั้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าระหว่าง “ไทย-สหรัฐ”ที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยโดยรวมและจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อ “ตลาดหุ้นไทย” ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ การขยายตัวของสินเชื่อไทยต่ำ ธนาคารพาณิชย์ไทยยังคงรัดเข็มขัดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ภาคการบริโภคในไทยชะลอตัว ส่วนภาคเอกชนก็มีแนวโน้มชะลอการลงทุน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ นี่ยังไม่นับรวมปัจจัยการเมืองหากเกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองในช่วงเวลาสำคัญอย่างการผ่านงบประมาณปี 2026 ปัจจุบันคุณแพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พักการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 (พ.ศ. 2025) เป็นต้นไป จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาด ซึ่งการตัดสินยังไม่ความไม่แน่นอนในเรื่องช่วงเวลา ส่วนการผ่านงบประมาณปี 2026 แม้จะผ่านไปได้แต่หากมีการปรับ ครม.หรือกรณีแย่ที่สุดคือการยุบสภาอาจทำให้การเบิกจ่ายจริงเกิดความล่าช้าขึ้นได้
“อย่างไรก็ตาม ‘หุ้นไทย’ ก็อาจมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญในเชิงบวกได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเกิดจุดเปลี่ยนทางการเมืองทางใดทางหนึ่งอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กับคืนมาได้ หรือการที่ ‘คณะกรรมการนโยบายการเงิน’ (กนง.) ส่งสัญญาณการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยอย่างชัดเจนและต่อเนื่องในปี25 และ 26 ตามลำดับ รวมถึงผลลัพธ์การเจรจาการค้าล่าสุดไทยได้ระดับอัตราภาษี 19% ใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ในโซนเอเชีย เป็นต้น”
คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โตต่ำ 1.3 – 2.3%…พร้อมมองเป้า “ดัชนีหุ้นไทย” สิ้นปีที่ 1,200 – 1,250 จุด
เช่นเดียวกับ“บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง ที่มองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้เพียง 1.3–2.3% โดยมีแรงหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐและภาคการท่องเที่ยว แต่ยังถูกถ่วงโดยการส่งออกที่อาจจะถูกกระทบ การลงทุนภาคเอกชนที่ซบเซา และความไม่แน่นอนจากความตึงเครียดทางการค้าโลก แม้นักท่องเที่ยวจีนจะลดลง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจากยุโรป อินเดียที่เพิ่มขึ้น ช่วยชดเชยผลกระทบดังกล่าว
ส่วน “ภาษี Trump” ที่ 19% นั้น ถือว่าไม่กระทบความสามารถในการแข่งขันของไทยมากนัก อาจรักษาหรือเพิ่มส่วนแบ่งตลาด เนื่องจากสินค้าราคาถูกกว่าคู่แข่งที่โดนภาษีสูงกว่า เช่น เวียดนาม 20%, มาเลเซีย 25% เป็นต้น ทำให้ไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตและการลงทุนที่น่าดึงดูดใจมากขึ้นเช่นกัน
(บดินทร์ พุทธอินทร์)
“หุ้นไทยปัจจุบัน P/BV ถูกมาก ใกล้เคียงปี2008 ที่เคยลงไปต่ำกว่า 1 เท่าช่วงหนึ่ง เรามองเป้าดัชนี SET สิ้นปี25กรณีดี (Best Case) ภาษีต่ำกว่า 20% จะอยู่ที่ 1,200 – 1,250 จุด สำหรับการลงทุนในไทยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบเน้น ‘หุ้นปันผลสูง’ เพื่อช่วยลดความผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง”
ช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนส่วนใหญ่อาจจะ “ผิดหวัง” กับ “ตลาดหุ้นไทย” จะหันหลังให้ไปลงทุนใน “หุ้นต่างประเทศ” กันมากขึ้น จนวันนี้ “ตลาดหุ้นเวียดนาม” ก็วิ่งแซงหน้าขึ้นไปทำ “All Time High” ทิ้งหุ้นไทยไว้เบื้องหลังเรียบร้อย แต่ในมุมตรงข้ามปัจจุบันก็กลายเป็น “โอกาสลงทุนที่ดี” ในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน ด้วยราคาที่ “ถูก-ปันผลดี” ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทยได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญ “Downside” ก็ค่อนข้างจำกัดด้วยเช่นกัน