FSA ญี่ปุ่น เตือนธนาคารท้องถิ่น ดอกเบี้ยสูงไม่ใช่ทางรอดเดียว ต้องเร่งปรับตัวรับมือเทคโนโลยี
FSA ญี่ปุ่น ส่งสัญญาณเตือนธนาคารท้องถิ่น อย่าฝากความหวังไว้กับดอกเบี้ยขาขึ้นเพียงอย่างเดียว ชี้การแข่งขันเพื่อแย่งเงินฝากจะทวีความรุนแรง ขณะที่เทคโนโลยีดิจิทัล, ความเสี่ยงไซเบอร์, และ AI กำลังกดดันให้สถาบันการเงินต้องเร่งลงทุนและปรับตัว
วันที่ 8 สิงหาคม 2568 เวลา 16.00 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า หัวหน้าคนใหม่ของสำนักงานบริการทางการเงินของญี่ปุ่น (FSA) ส่งสารเตือนไปยังธนาคารท้องถิ่นว่าอย่าคาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด
ธนาคารท้องถิ่นในญี่ปุ่นต่างหวังว่าการยกเลิกนโยบายดอกเบี้ยติดลบเมื่อปีที่แล้วจะช่วยฟื้นฟูธุรกิจของตน โดยกล่าวโทษนโยบายดังกล่าวว่าเป็นต้นเหตุที่บั่นทอนความสามารถในการทำกำไร อย่างไรก็ตาม Yutaka Ito กรรมาธิการ FSA คนใหม่กล่าวว่า ยุคของดอกเบี้ยสูงจะนำมาซึ่งการแข่งขันรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะในด้านการดึงดูดเงินฝาก ในขณะที่เทคโนโลยีกำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมนี้อย่างรวดเร็ว
อิโตะกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า “สภาพแวดล้อมในช่วงปีที่ผ่านมาเปลี่ยนไปอย่างมาก จากยุคดอกเบี้ยต่ำที่ธนาคารแทบไม่สามารถทำเงินได้ …การแข่งขันจะทวีความรุนแรงขึ้น”**
สำหรับ FSA การรักษาความมั่นคงระยะยาวของธนาคารท้องถิ่นราว 100 แห่งทั่วประเทศ เป็นความท้าทายสำคัญมาโดยตลอด ซึ่งมีความเร่งด่วนเพิ่มขึ้นเมื่อพิจารณาถึงการลดลงอย่างรวดเร็วของประชากรในพื้นที่ชนบท
การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 ช่วยให้ธนาคารท้องถิ่นมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นเกือบ 40% ในปีงบประมาณที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากกำไรจากการปล่อยกู้ตามข้อมูลของ FSA
แต่อิโตะเตือนว่า ไม่ใช่ทุกธนาคารจะได้รับประโยชน์เท่าเทียมกัน ในอดีตอัตราดอกเบี้ยต่ำกดดันธนาคารทั้งหมดในลักษณะเดียวกัน ทำให้ยากที่จะเห็นความแตกต่างระหว่างผู้ชนะกับผู้แพ้อย่างชัดเจน แต่ในยุคดอกเบี้ยสูงพฤติกรรมของลูกค้าธนาคารอาจเปลี่ยนแปลง เช่น การย้ายเงินฝากไปยังผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ดังนั้นสถาบันการเงินต้องปรับบริการให้แข่งขันได้
การแข่งขันเพื่อดึงดูดเงินฝากเริ่มดุเดือด ธนาคารรายใหญ่ในญี่ปุ่นเปิดตัวแอปมือถือที่ล้ำสมัยและโปรแกรมสะสมแต้มเพื่อดึงดูดลูกค้ารายย่อย หากเงินฝากลดลง ธนาคารท้องถิ่นจะสูญเสียแหล่งเงินทุนที่มั่นคงและต้นทุนต่ำ
วิกฤตธนาคารสหรัฐในปี 2566 เป็นกรณีศึกษาเตือนใจ Silicon Valley Bank และธนาคารอื่น ๆ ล้มลงหลังจากถูกบีบให้ขายพันธบัตรดอกเบี้ยต่ำที่ขาดทุน เพื่อจ่ายคืนเงินฝากที่ลูกค้าเร่งถอนออกมาไปลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งเทคโนโลยี เช่น แอปมือถือ มีบทบาทสำคัญในการเร่งให้การถอนเงินเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับธนาคารท้องถิ่นของญี่ปุ่น อิโตะกล่าวว่าการควบรวมกิจการอาจไม่ใช่คำตอบเดียว แต่ผู้บริหารควรพิจารณากลยุทธ์ทางเลือกต่าง ๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ
หลังวิกฤตการเงินญี่ปุ่นช่วงปลายทศวรรษ 1990 ธนาคารรายใหญ่ในเมืองหลวงรวมตัวกันเกิดเป็นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ เช่น Mitsubishi UFJ และ Sumitomo Mitsui ขณะที่ธนาคารท้องถิ่นส่วนใหญ่ยังคงแยกดำเนินการ มีเพียงบางแห่งที่ควบรวมกัน
อิโตะยังเน้นว่าต้นทุนในการดำเนินงานของธนาคารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับขนาดกิจการ ซึ่งต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่
“การฟอกเงิน, ความมั่นคงทางไซเบอร์, การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และ AI ธนาคารต้องรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ให้ได้ …ไม่ว่าจะเลือกกลยุทธ์ใด ธนาคารจำเป็นต้องลงทุน และนั่นหมายถึงต้องมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและบุคลากรที่มีความสามารถ”
แม้จะไม่ถึงขั้นควบรวมกิจการ ธนาคารท้องถิ่นยังสามารถร่วมมือกับธนาคารคู่แข่งเพื่อบริหารฟังก์ชันบางอย่างร่วมกัน และแบ่งเบาภาระต้นทุน หรือจับมือกับบริษัทฟินเทคเพื่อพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ
อ้างอิง : bloomberg.com