PTT โค้ง2 กำไร 2.15 หมื่นลบ. มองน้ำมัน65 – 75เหรียญ
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 52 นาทีที่แล้ว • เผยแพร่ 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น - PTT เผยกำไรสุทธิ 2Q68 มีกำไร 21,533 ล้านบาท ลดลง 39% ดันครึ่งปีแรกมีกำไร 44,848 ล้านบาท ย้ำความแข็งแกร่งแม้เผชิญแรงกดดันเศรษฐกิจโลก เดินหน้าปรับพอร์ต ยกระดับ Synergy ภายในกลุ่ม ปตท.
–เพิ่มประสิทธิภาพองค์กร พร้อมรับมือความผันผวน คาดว่าราคาน้ำมันดิบในปี 2568 จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 65 – 75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานกำไรไตรมาส 2/2568 ว่าแม้ว่าเศรษฐกิจโลกในครึ่งแรกของปี 2568 (1H2568) ยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการค้าโลก จากนโยบายการขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจและราคาพลังงานอย่างต่อเนื่อง
โดยราคาน้ำมันดิบดูไบใน 1H2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 71.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อ่อนตัวลงจากในครึ่งแรกของปี 2567 (1H2567) ที่ระดับ 83.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ใน 1H2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีผลการดำเนินงานลดลงตามราคาขายที่ลดลง ตามราคาน้ำมันอ้างอิงในตลาดโลก และราคาน้ำมันที่ลดลงข้างต้น ยังคงส่งผลให้ ปตท. และบริษัทย่อยมีผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันสุทธิ กับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือ (NRV) ประมาณ 5,800 ล้านบาท ขณะที่ใน 1H2567 มีกำไรประมาณ 5,400 ล้านบาท
ประกอบกับค่าเงินบาทเฉลี่ยแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ 1H2567 โดยใน 1H2567 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 36.4 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่ใน 1H2568 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 33.7 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทำให้รายได้ที่อ้างอิงเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม กลุ่ม ปตท. มีการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากการทำ Natural Hedge ซึ่งช่วยจำกัดผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อการดำเนินงานในภาพรวม โดยจะมีการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ
พร้อมกันนี้ กลุ่ม ปตท. ยังมีการบริหารจัดการตามทิศทางและแผนกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการปรับพอร์ตการดำเนินงาน โดยมุ่งเน้นเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งทบทวนกลยุทธ์ในธุรกิจ Non-Hydrocarbon เพื่อสร้างความแข็งแกร่งจากภายในและเสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว รวมทั้งได้มีการจัดตั้ง War Room พร้อมรับมือสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และตั้งเป้าหมาย EBITDA Uplift ผ่านการดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ อาทิ
• Domestic Production Management (D1) และ P1 เพื่อยกระดับ Synergy ภายในกลุ่ม ปตท. และเตรียมความพร้อมขยายตลาดน้ำมันทั้งในประเทศและต่างประเทศ
• Operational Excellence (MissionX) และ Digital Transformation (Axis) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงาน
• Asset Monetization (A1) มุ่งเน้นการบริหารสินทรัพย์ภายในกลุ่ม เพื่อผลการดำเนินงานที่ดีและยั่งยืนในระยะยาว
• Financial Excellence (F1) เสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินและวินัยทางการเงิน เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีให้แก่นักลงทุน
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผลให้ในไตรมาส 2 ปี 2568 (2Q2568) และ 1H2568 ปตท. และบริษัทย่อย ยังคงมีผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีรายละเอียดดังนี้
ใน 2Q2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 78,793 ล้านบาท ลดลง 36,541 ล้านบาท หรือร้อยละ 31.7 จากในไตรมาส 2 ปี 2567 (2Q2567) ที่จำนวน 115,334 ล้านบาท โดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานลดลงจากราคาขายและปริมาณขายเฉลี่ยที่ลดลง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น
ประกอบกับกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลง โดยธุรกิจการกลั่นลดลง เนื่องจากในไตรมาสนี้มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันสุทธิ กับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือ โดยใน 2Q2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีขาดทุนประมาณ 7,200 ล้านบาท ขณะที่ใน 2Q2567 มีกำไรประมาณ 2,800 ล้านบาท แม้ว่ากำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) และปริมาณขายเพิ่มขึ้น
ธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของกลุ่มอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์ที่ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมีผลการดำเนินงานลดลง จากกำไรต่อหน่วยที่ลดลงจากส่วนต่างราคารับซื้อ–ขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก
รวมถึงธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซฯ มีกำไรขั้นต้นลดลงจากต้นทุนก๊าซฯ ที่ปรับลดลงน้อยกว่าราคาขายเฉลี่ยให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง ขณะที่ธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากต้นทุนที่ลดลง เนื่องจากใน 2Q2567 มีผลกระทบจากการเริ่มใช้นโยบาย Single Pool ในการคำนวณราคาก๊าซฯ โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567
ใน 2Q2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 21,533 ล้านบาท ลดลง 13,936 ล้านบาท หรือร้อยละ 39.3 จากใน 2Q2567 ที่จำนวน 35,469 ล้านบาท ตาม EBITDA ที่ลดลงตามกล่าวข้างต้น ประกอบกับใน 2Q2568 มีการรับรู้รายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำ (Non-recurring Items) หลังหักภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นกำไรประมาณ 4,200 ล้านบาท โดยหลักจากบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทรวมจากการซื้อลูกหนี้การค้าในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของการเข้าซื้อหุ้นและควบรวมโรงกลั่นน้ำมันของกลุ่มเชลล์ในสิงคโปร์
ขณะที่ใน 2Q2567 มีกำไรประมาณ 5,400 ล้านบาท โดยหลักจากกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ให้บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTT LNG) และกำไรจากการซื้อลูกหนี้การค้าของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) และ TOP
อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจโลกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 (3Q2568) มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจาก 2Q2568 โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเผชิญกับเงินเฟ้อที่เร่งขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากต้นทุนด้านภาษีศุลกากรขาเข้าที่สูงขึ้น จากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กดดันการบริโภค อย่างไรก็ตาม คาดว่านโยบายด้านภาษีและงบประมาณ (One Big Beautiful Bill Act) จะช่วยส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน
สำหรับเศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญปัจจัยกดดันจากเงินฝืด การบริโภคที่ซบเซา วิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ ประกอบกับผลกระทบจากนโยบายกีดกันสินค้าถ่ายลำ (Transshipment) ของสหรัฐฯ ขณะที่เศรษฐกิจกุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรมีแนวโน้มขยายตัว จากปัจจัยกดดันด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลง อีกทั้งการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่องของ ECB และปัจจัยสนับสนุนจากการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรและสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญความเสี่ยงจากนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าที่แม้บรรลุไปบางส่วนแล้ว แต่ยังคงเปราะบาง ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ประกอบกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ
ตามรายงานของ S&P Global ณ เดือนกรกฎาคม 2568 ความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6 MMBD ไปอยู่ที่ระดับ 105.6 MMBD ตามเศรษฐกิจโลกที่ยังคงขยายตัว แม้ถูกกดดันจากความไม่แน่นอนของการค้าโลก ขณะที่อุปทานมีแนวโน้มล้นตลาดมากขึ้น ทั้งจากกลุ่ม OPEC+ ที่มีแผนเร่งการผลิตเร็วขึ้น และจากกลุ่ม Non-OPEC+ ทั้งนี้ คาดว่าราคาน้ำมันดิบในปี 2568 จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 65 – 75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 4.1 – 5.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ใน 1H2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 44,848 ล้านบาท ลดลง 19,589 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.4 จาก 1H2567 ที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 64,437 ล้านบาท สาเหตุหลักจาก EBITDA ที่ลดลงตามที่กล่าวข้างต้น ประกอบกับใน 1H2568 มีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ (Non-recurring Items) สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นกำไรประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยหลักจาก TOP ที่มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมจากการซื้อกิจการในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของการเข้าซื้อหุ้นและควบรวมโรงกลั่นน้ำมันของกลุ่มเชลล์ในสิงคโปร์ ขณะที่ใน 1H2567 มีกำไรประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยหลักจากกำไรจากการขายเงินลงทุนใน Alvogen Malta (Out-licensing) Holding Ltd. (AMOLH) กำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ให้ PE LNG ของ PTTLNG และกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ของ GC และ TOP
ฐานะการเงินของ ปตท. และบริษัทย่อย ณ 30 มิถุนายน 2568
จากการปรับแผนการลงทุน โดยมีกลยุทธ์มุ่งเน้นธุรกิจที่มีอยู่เดิม พร้อมเสริมสร้างความแข็งแกร่งภายในกลุ่ม ภายใต้นโยบายการเงินที่เข้มงวด ส่งผลให้ฐานะทางการเงินของกลุ่ม ปตท. ยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นอยู่ในระดับสูงที่ 413,902 ล้านบาท ณ 30 มิถุนายน 2568 ขณะที่ระดับหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยลดลง ตามกลยุทธ์การลดภาระหนี้ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในโครงการสำคัญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) ควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อเพิ่มมูลค่าตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้กลุ่ม ปตท. ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่แข็งแกร่งเทียบเท่าระดับประเทศ แม้สถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดทุนยังมีความผันผวน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อพื้นฐานของบริษัท
ณ 30 มิถุนายน 2568
• สินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 3,312,019 ล้านบาท ลดลง 126,765 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7 จาก ณ 31 ธันวาคม 2567 ที่มีสินทรัพย์รวม 3,438,784 ล้านบาท โดยหลักจากลูกหนี้การค้าและสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นลดลงจากปริมาณและราคาที่ลดลง ประกอบกับเงินสดลดลงจากการชำระคืนเงินกู้ยืมและการจ่ายเงินปันผลของบริษัทในกลุ่ม ปตท.
• หนี้สินรวมทั้งสิ้น 1,673,811 ล้านบาท ลดลง 108,096 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.1 จาก ณ 31 ธันวาคม 2567 ที่มีหนี้สินรวม 1,781,907 ล้านบาท โดยหลักจากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยลดลงจากการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาว ประกอบกับหนี้สินอื่นลดลงจากเจ้าหนี้การค้าของ ปตท. และ PTT International Trading Pte. Ltd. (PTTT) ตามปริมาณและราคาที่ลดลง
• ส่วนของผู้ถือหุ้น 1,638,208 ล้านบาท ลดลง 18,669 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.1 จาก ณ 31 ธันวาคม 2567 ที่มีส่วนของผู้ถือหุ้น 1,656,877 ล้านบาท โดยหลักจากผลต่างการแปลงค่างบการเงินตามค่าเงินบาทที่แข็งค่า และหุ้นทุนซื้อคืนของ ปตท. ขณะที่กำไรสะสมเพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568