‘ซีไรต์’ ประกาศรายชื่อ ‘บทกวี’ ปี 68 รอบ Shortlist จำนวน 8 เล่ม
คณะกรรมการดำเนินงานรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (Southeast Asian Writers Award) หรือ ซีไรต์ (S.E.A. Write Award) ประจำปี 2568 เปิดรับผลงานเข้าประกวดประเภท กวีนิพนธ์ มาตั้งแต่ปลายปี 2567 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568
วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 ได้ประกาศรายชื่อหนังสือกวีนิพนธ์ ที่ผ่านการพิจารณา จำนวน 69 เรื่องออกมา
วันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีการประกาศรายชื่อหนังสือกวีนิพนธ์ ผ่านการคัดเลือก รอบแรก (Longlist) จำนวน 18 เล่ม
ล่าสุด มีการแถลงข่าวประกาศรายชื่อหนังสือกวีนิพนธ์ ที่ผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้าย หรือ Shortlist วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ณ C asean Ratchada อาคาร CW Tower ชั้น 10 ถนนรัชดาภิเษก
Cr. Kanok Shokjaratkul
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานคณะกรรมการดำเนินงานรางวัลซีไรต์ กล่าวว่า ในปีนี้ มีผลงานกวีนิพนธ์ส่งเข้าประกวดรวมทั้งสิ้น 69 เรื่อง มีผู้ขอถอดหนังสือออกจากการประกวด 1 ผลงาน เหลือพิจารณา 68 ผลงาน
"คณะกรรมการรอบคัดเลือกได้คัดเลือกกวีนิพนธ์เข้ารอบ Longlist จำนวน 18 เล่ม และพิจารณาอีกครั้งเพื่อคัดเลือกให้เหลือ 8 เล่มในรอบ Shortlist
Cr. Kanok Shokjaratkul
ผลงานกวีนิพนธ์ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย หรือ Shortlist รางวัลซีไรต์ ประจำปี พ.ศ. 2568 ทั้ง 8 เล่ม (เรียงตามลำดับตัวอักษรของชื่อหนังสือ) ได้แก่
1. คนกลืนฝนจนเอ่อล้นพ้นดวงตา โดย ชาย แสงอากาศ / ชายแสงอากาศ
2. นักล่าแสงแรก โดย ธรรมรุจา ธรรมสโรช / สำนักพิมพ์จงสว่าง
3. บทกวีตีพิมพ์บนสรวงสวรรค์ในปีต่อมา โดย ซะการีย์ยา อมตยา / สำนักพิมพ์สมมติ
4. บังฟ้าเบิกอบาย โดย นายทิวา / สำนักพิมพ์ ออน อาร์ต
5. แม่น้ำต่างหากสร้างสะพาน โดย วิศิษฐ์ ปรียานนท์ / ผจญภัยสำนักพิมพ์
6. เราอยู่บนดาวดวงเดียวกันไหม โดย นิตา มาศิริ / สาวิตรี ทนเสน
7. เสียงสวดมนต์ของคนใบ้ โดย องอาจ สิงห์สุวรรณ / ผจญภัยสำนักพิมพ์
8. อีกฟากด้านกระดานหก โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ / โรงเรียนกวีทุ่งสักอาศรม
Cr. Kanok Shokjaratkul
- ภาพรวมของกวีนิพนธ์ในปีนี้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชัยรัตน์ พลมุข ประธานคณะกรรมการคัดเลือก กล่าวว่า ผลงานที่ส่งเข้าประกวดมีการตกผลึกเกี่ยวกับตัวตนและสังคมที่ผ่านพ้นวิกฤตรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี จนเกิดเป็นความตระหนักรู้อันลึกซึ้ง และถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงอันสุขุม
"ในด้านเนื้อหา กวีนิพนธ์หลายเล่มนำเสนอภาพที่ซับซ้อนของโลกภายนอกและภายใน มีการใคร่ครวญเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตทั้งสุขและทุกข์ สายสัมพันธ์ในครอบครัว การเผชิญหน้ากับความแตกต่างทางเชื้อชาติและศาสนา วิถีชีวิตท้องถิ่นที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์สังคมในภาวะวิกฤต เช่น ด้านความเชื่อ ศาสนา ศรัทธา
Cr. Kanok Shokjaratkul
การดำรงชีวิตท่ามกลางข่าวลวง ความจริงเสมือน และปัญญาประดิษฐ์ ตลอดจนผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองและสงคราม ประเด็นที่แหลมคมคือ การขบคิดเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างวัย ซึ่งมีเสียงของคนหลายรุ่นที่ตั้งคำถามต่ออคติจากความแตกต่างนี้ และหลายเรื่องยังสอดแทรกความสำคัญของกวีนิพนธ์ในการเยียวยาบาดแผลทั้งระดับปัจเจกและสังคม
ในด้านรูปแบบ กวีนิพนธ์ส่วนใหญ่ยังคงแต่งด้วย ร้อยกรองฉันทลักษณ์ตามขนบ ขณะเดียวกันก็มีการทดลองเชิงรูปแบบที่น่าสนใจ มีการใช้เรื่องเล่าที่คล้ายเรื่องสั้น หรือแต่งเป็นเรื่องยาวที่มีการผูกปมให้ติดตาม
กวีนิพนธ์ไร้ฉันทลักษณ์ก็มีวิธีการเล่าเฉพาะตัว เช่น การประสานข้อมูลเชิงสารคดีเข้ากับจินตนาการ การใช้จินตภาพที่ปรากฏซ้ำ และมีการนำเทคนิคด้านการออกแบบกราฟิกเข้ามาเน้นย้ำสารสำคัญ บางบทกวียังมีลักษณะของคำประกาศ ซึ่งแสดงให้เห็นพลังในการปลุกเร้าของกวีนิพนธ์ในวัฒนธรรมมุขปาฐะ
Cr. Kanok Shokjaratkul
ในแง่ของผู้ส่งผลงานเข้าประกวด พบว่ามี 2 ประเด็นหลัก คือ กวีรุ่นใหม่ Gen Z, Gen Y ที่เขียนงานมากขึ้น มักจะพูดถึงเรื่องที่เฉพาะเจาะจง และมีมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่าง การตัดสินคุณค่า หรือมิติทางศีลธรรมต่อเทคโนโลยีและสื่อสังคม ผู้ใหญ่อาจมองว่าสิ่งเหล่านี้มีแต่ด้านที่ทำลาย ในขณะที่คนรุ่นใหม่อาจมองเห็นศักยภาพที่เปิดกว้างมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องของตัวตนหรืออัตลักษณ์ของคนในโลกสมัยใหม่ สะท้อนออกมาชัดเจนในน้ำเสียงของกวีรุ่นใหม่
ประเด็นที่สอง กวีรุ่นอาวุโส พยายามจะก้าวข้ามอคติบางอย่างที่อาจมีต่อเยาวชนรุ่นใหม่เช่นกัน จะมีหนังสือหลายเล่มใน Shortlist หรือ Longlist ที่พูดถึงประเด็นนี้ รวมถึงกวีรุ่นเยาว์ที่เขียนเรื่องปรัชญาของผู้ใหญ่ได้อย่างลึกซึ้งก็มี"
- ความน่าสนใจของแต่ละแล่ม
1. คนกลืนฝนจนเอ่อล้นพ้นดวงตา โดย ชาย แสงอากาศ
เป็นภาพชีวิตสามัญของผู้คนที่ต่อสู้ดิ้นรน โดยมีสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณคือความใฝ่ฝัน ความทรงจำ และความปรารถนา มุมมองต่อสังคมที่กลั่นกรองจากความโศกเศร้า ไม่ได้สิ้นหวัง แต่เป็นการปลอบประโลมให้ใช้ชีวิตด้วยความเมตตาต่อตนเองและอาทรต่อผู้อื่น กวีนำฉันทลักษณ์ในขนบมาใช้ได้อย่างหลากหลายและมีชั้นเชิง มีการแบ่งวรรคตอน สร้างความแปลกใหม่ และใช้รูปแบบบทละครมาเล่าเรื่อง สร้างนวัตกรรมใหม่ในเชิงวรรณศิลป์ให้กับกวีนิพนธ์ไทยร่วมสมัย
Cr. Kanok Shokjaratkul
2. นักล่าแสงแรก โดย ธรรมรุจา ธรรมสโรช
สะท้อนภาพชีวิตผู้คนและสังคมอย่างคมชัด นำเสนอความจริงในสังคมปัจจุบันโดยไม่ชี้นำหรือตัดสิน มองผู้คนอย่างเข้าใจและเห็นใจ ประเด็นที่นำเสนอมีความเป็นสากล มีการใช้เครื่องมือหลากหลายในการถ่ายทอด ทั้งกวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์ กลอนเปล่า ไปจนถึง การนำรูปแบบเพลงแรปมาใช้ และศิลปะการจัดวางอักษรเพื่อเสริมความหมาย ใช้คำใหม่ ๆ มาสะท้อนสังคมร่วมสมัยได้อย่างดีเยี่ยม เป็นเสียงแห่งยุคสมัยและเสียงของผู้ที่ไม่ได้รับความเท่าเทียม
Cr. Kanok Shokjaratkul
3. บทกวีตีพิมพ์บนสรวงสวรรค์ในปีต่อมา โดย ซะการีย์ยา อมตยา
เป็นบทกวีไร้ฉันทลักษณ์สลับกับความเรียงเชิงกวีนิพนธ์ มีการเลือกใช้โทนสี การจัดวางอักษร และภาพประกอบอย่างประณีต ทำให้เป็นทั้งหนังสือรวมบทกวีและวัตถุทางศิลปะในตัวเอง กวีสร้างสรรค์บทที่ตั้งคำถามและพยายามข้ามขอบเขตความเชื่อทางศาสนา สังคม วัฒนธรรม และการเมือง แต่ก็ไม่ละทิ้งอัตลักษณ์รากเหง้า ถ้อยคำและภาษาที่ใช้กลั่นกรองจากความรู้สึกและสำนึกเชิงปรัชญา เปี่ยมด้วยน้ำหนักและจังหวะที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง
Cr. Kanok Shokjaratkul
4. บังฟ้าเบิกอบาย โดย นายทิวา
บอกเล่าเรื่องราวหลากหลายจากสังคมปัจจุบัน ด้านความเชื่อ ศรัทธา ความจริง ความลวง กวีตั้งคำถามว่าเราจะเห็นความจริงได้อย่างไร กระตุ้นให้ผู้อ่านตระหนักถึงความหลงมัวเมาที่บดบังความจริงในยุคที่อบายบังฟ้า นำเสนอด้วยภาษาที่กระชับง่าย ลีลาโดดเด่น สอดแทรกอารมณ์ขันคมคาย มีการใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษสื่อความหมายเฉพาะเจาะจง เป็นสีสันแห่งยุคสมัย
Cr. Kanok Shokjaratkul
5. แม่น้ำต่างหากสร้างสะพาน โดย วิศิษฐ์ ปรียานนท์
นำเสนอชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ชายแดนตะวันตกของไทย กวีทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้ามองชีวิตผู้คนด้วยสายตาละเอียดแหลมคม ถ่ายทอดภาพความทุกข์ ความเศร้า ความท้อแท้ และภาพความไร้เดียงสาของเด็กต่างเชื้อชาติที่อยู่ร่วมกัน โดดเด่นทั้งด้านเนื้อหาชีวิตผู้คนต่างวัฒนธรรมได้อย่างสะเทือนอารมณ์ และมีเอกภาพ ผ่านความเรียบง่ายทางฉันทลักษณ์และศิลปะการประพันธ์
Cr. Kanok Shokjaratkul
6. เราอยู่บนดาวดวงเดียวกันไหม โดย นิตา มาศิริ
สะท้อนภาวะความขัดแย้งทางความคิดและความเชื่อในโลกปัจจุบัน ที่ทำให้ผู้คนห่างเหินและขาดความเอื้ออาทร กวีเสนอแง่คิดว่าความแตกต่างช่วยให้โลกนี้งดงาม แม้โลกเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แต่กวีก็มองโลกอย่างมีความหวังว่าความรักและความเข้าใจของมนุษยชาติจะช่วยนำพาสังคมให้รอดพ้นจากความขัดแย้ง ใช้ฉันทลักษณ์กลอนสุภาพเสริมด้วยกาพย์ยานี 11 อย่างแม่นยำ บทกวีมีพลังทางวรรณศิลป์ด้วยการเลือกใช้คำง่ายแต่มีความหมายลึกซึ้ง
Cr. Kanok Shokjaratkul
7. เสียงสวดมนต์ของคนใบ้ โดย องอาจ สิงห์สุวรรณ
รวมผลงานกวีนิพนธ์ฉันทลักษณ์ ถ่ายทอดวิถีชีวิตพื้นถิ่นอันสามัญและเรียบง่าย โดยเฉพาะขนบธรรมเนียม ประเพณีจากภาคอีสานที่กำลังถูกหลอมรวมด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารร่วมสมัย สะท้อนภาวะร่วมสมัยที่ไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิมอีกต่อไป ลีลาการประพันธ์มีการใช้สัญลักษณ์แฝงปริศนาที่เปิดกว้างต่อการตีความได้หลากหลาย เปรียบเสมือนงานมหากาพย์แห่งการใคร่ครวญภายในของคนใบ้ที่สะท้อนความหมายได้อย่างหลากหลายไม่รู้จบ
Cr. Kanok Shokjaratkul
8. อีกฟากด้านกระดานหก โดย ศิวกานท์ ปทุมสูติ
ถ่ายทอดความซับซ้อนของชีวิตมนุษย์ด้วยสายตาของผู้เข้าใจโลก ใช้ภาพการต่อสู้ขับเคี่ยวทางวาทกรรมและอำนาจที่แทรกซึมในสังคม แสดงความสำคัญของการสร้างสมดุลระหว่างมนุษย์กับอำนาจ อดีตกับปัจจุบัน รัฐกับประชาชน กระตุ้นให้ตระหนักถึงสิ่งที่คิดว่าไม่มีหรือการยึดติดในเหตุผลจนลืมหัวใจ หยิบยกปัญหาของผู้ไร้อำนาจ ผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบมานำเสนอด้วยน้ำเสียงปลุกเร้าหนักแน่นให้ยึดมั่นในคุณงามความดี ผสานแนวคิดธรรมะอย่างแยบยล สำนวนภาษาคมคาย แสดงถึงความเชี่ยวชาญในภาษา
Cr. Kanok Shokjaratkul