โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

SCB WEALTH จัดสัมมนาเจาะลึกโอกาสการลงทุน มองสินทรัพย์นอกตลาดเพิ่มศักยภาพโอกาสสร้างผลตอบแทน ลดผันผวน หนุนพอร์ตโตอย่างยั่งยืน

BTimes

อัพเดต 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา • อัพเดตข่าวหุ้น ธุรกิจ การเงิน การลงทุน การตลาด การค้า สุขภาพ กับ บัญชา ชุมชัยเวทย์ - BTimes.Biz

SCB WEALTH จัดสัมมนาภายใต้แนวคิด The Future of Wealth : Unlocking Alternative Opportunities ให้กับกลุ่มลูกค้าเวลธ์ เพื่อถ่ายทอดมุมมองและเจาะลึกโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกใน Private Asset ,Private Equity และ Hedge Fund ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังเผชิญความผันผวนจากปัจจัยหลากหลาย โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญกองทุนระดับโลกมาร่วมบรรยาย

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investment) ไม่ใช่แค่กระแส แต่คืออนาคตของการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะในยุคที่ความไม่แน่นอนและความผันผวนในตลาดยังคงอยู่ในระดับสูง การลงทุนในสินทรัพย์ดั้งเดิม (Traditional Asset) อย่างหุ้นและตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสินทรัพย์เหล่านี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันมากขึ้น ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาขยายการกระจายความเสี่ยงออกไปไกลกว่าแค่หุ้นกับตราสารหนี้ ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Asset) ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับตลาดดั้งเดิม ซึ่งสามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ต และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระยะยาว เช่น Private Equity การลงทุนในกิจการที่ยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์, Private debt การลงทุนในตราสารหนี้ที่ไม่ได้ออกขายในตลาดสาธารณะ และการลงทุนใน Hedge Fund กองทุนทางเลือกที่ใช้กลยุทธ์ยืดหยุ่น สามารถสร้างผลตอบแทนได้แม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน

นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่า ในฐานะกิจการนอกตลาดที่ได้รับเงินสนับสนุนจากสถาบันต่างบประเทศ( Venture Capital : VC) มองว่าการพิจารณาการลงทุนใน Early Stage Startup ของ VC ให้ความสำคัญใน 2 เรื่องหลัก คือ

1) Market Risk โดยเลือกลงทุนในธุรกิจที่ได้รับการพิสูจน์ในประเทศอื่นแล้วว่า ลูกค้ามีความต้องการจริง และมีผู้เล่นในประเทศอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จให้เห็นแล้ว เช่น แพลตฟอร์มรีวิวอาหารที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ อาทิ Yelp (สหรัฐฯ) , Tabelog และ Hot Pepper ( ญี่ปุ่น) และ OpenRice (ฮ่องกง) ล้วนเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูง และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ผู้ลงทุนจึงมั่นใจว่าธุรกิจลักษณะนี้จะประสบความสำเร็จในประเทศอื่นด้วย ซึ่ง Wongnai ในยุคแรกได้รับเงินลงทุนจากปัจจัยนี้

จากมุมมองของ VC ที่มีทฤษฎีการลงทุนที่ชัดเจน มองว่า ธุรกิจกลุ่ม Food Delivery เป็นโมเดลที่ได้รับการพิสูจน์จากทั่วโลกแล้วว่าลูกค้ามีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และมี top two player ที่สามารถทำกำไรได้อยู่ในทุกประเทศ ดังนั้น ธุรกิจ food delivery จึงมี Market Risk ต่ำ เพราะธุรกิจได้รับการพิสูจน์แล้วในหลายประเทศ ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่หรือจำกัดอยู่เฉพาะบางพื้นที่ เช่น ประเทศไทย

จุดเด่นของนักลงทุนที่คัดเลือกกิจการนอกตลาดได้ดี คือ มีความชัดเจนว่าต้องการลงทุนในกิจการลักษณะใด ในกรณีที่บริษัทนั้นยังไม่มีรายได้ นักลงทุนจะพิจารณา valuation จากข้อมูลอื่นที่ไม่ใช่งบการเงิน เช่น กรณีช่วงเริ่มต้นธุรกิจของ Wongnai ผู้ลงทุนพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้งาน จำนวนการรีวิว จำนวนร้านอาหารในระบบ และพิจารณาแนวคิดของทีมบริหาร ส่วนกรณีที่เป็นกิจการที่มีความมั่งคั่งแล้วแต่ยังไม่เข้าตลาด ควรเลือกบริษัทที่มีชั่วโมงบินสูง มีการเก็บข้อมูลจำนวนมากเพียงพอ เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถวิเคราะห์และคัดเลือกกิจการได้อย่างเฉียบคม พร้อมหลีกเลี่ยงลงทุนในกิจการที่ผู้บริหารขาดธรรมาภิบาล

2)Execution Risk ในระยะเริ่มต้นของธุรกิจ ผู้ลงทุนให้ความสำคัญกับ Execution Risk ซึ่งเกี่ยวกับความสามารถของทีมผู้บริหารในการนำแผนไปปฎิบัติ เช่น กลยุทธ์ในการเพิ่มผู้ใช้งาน การเพิ่มจำนวนรีวิว การวางแผนด้านการตลาด ( Marketing Execution) และการบริหารต้นทุน เป็นต้น และ เมื่อธุรกิจเข้าสู่ Growth stage แล้ว ผู้ลงทุนจะพิจารณาปัจจัยอื่นเพิ่มเติม เช่น การเติบโตของธุรกิจ และความสามารถในการสร้างกำไร รวมทั้งความสามารถในการปฎิบัติตามแผนที่เสนอไว้ เป็นต้น การลงทุนใน Early Stage ผู้ลงทุนต้องเห็นว่าแผนถูกนำไปใช้ได้จริง และสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้

ในส่วนของประเทศไทย มองว่าโอกาสการลงทุนในกิจการนอกตลาดมีอยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ( SME) มากกว่ากลุ่มเทคโนโลยี โดยกลุ่ม SME มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งค้าปลีก ความงาม บริการ และอาหาร

ด้านนางสาวซันนี่ ยุน หัวหน้าฝ่ายไพรเวท เวลธ์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี บริษัท Partners Group สิงคโปร์ กล่าวว่าโอกาสในการลงทุนในกิจการนอกตลาด (Private Markets) กำลังขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 5,000 บริษัท ขณะที่จำนวนกิจการที่อยู่นอกตลาดมีมากกว่า 2 ล้านบริษัท แสดงให้เห็นว่า ในตลาดหุ้นมีการแข่งขันที่เข้มข้น แต่กิจการนอกตลาดกลับเต็มไปด้วยโอกาสใหม่ที่ยังรอการค้นพบ กิจการนอกตลาด มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนในระดับสูง ขณะที่ความผันผวนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ดั้งเดิม และด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและเครื่องมือทางการเงินในปัจจุบัน ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุน Private Asset ได้ง่ายขึ้น ใช้เงินลงทุนน้อยลง และไม่จำเป็นต้องถือครองในระยะยาวเหมือนในอดีต

หนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ คือ การลงทุนในค่าสิทธิ (Royalty investment) จากการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาหรือทรัพย์สินอื่นๆ เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า หรือเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการเข้าถือสิทธิ์ในสินทรัพย์ที่สามารถสร้างกระแสรายได้ต่อเนื่องในระยะยาว เช่น ลิขสิทธิ์เพลง ภาพยนตร์ สิทธิบัตรยา และเทคโนโลยีใหม่ๆ จะเห็นว่าโดยข้อได้เปรียบของการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ คือ การบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำ สามารถกระจายความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ดี และไม่อ่อนไหวต่อความผันผวนของตลาดทุน เนื่องจากไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับหุ้นหรือตราสารหนี้ อีกทั้งยังสามารถสร้างกระแสเงินสดได้แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว เช่น ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ผู้คนก็ยังจำเป็นต้องซื้อยา หรือยังคงฟังเพลง ทำให้การลงทุนในสิทธิบัตรยา หรือลิขสิทธิ์เพลง ยังคงสร้างรายได้ได้อย่างสม่ำเสมอ

โดยภาพรวม สินทรัพย์ทางเลือกอย่าง Royalty Investment ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาแหล่งรายได้ที่มั่นคง พร้อมความสามารถในการบริหารความเสี่ยงในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทั้งนี้ แนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนในค่าสิทธิจากหลายอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ที่มั่นคง และต่อยอดผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอในระยะยาวให้กับพอร์ตการลงทุน

นางสาวซาแมนธา หลิน ,CFA , ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัท Franklin Templeton Core Asia เปิดเผยว่า ท่ามกลางภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงและความไม่แน่นอนในระบบการเงินโลก นักลงทุนจำนวนมากเริ่มหันมาสนใจการลงทุนใน Private Equity Secondary ซึ่งเป็นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Private Equity ที่มีอยู่แล้ว ผ่านตลาดรอง (Secondary Market) หากอธิบายให้เข้าใจ การลงทุนใน Private Equity Secondary เป็นการเข้าลงทุนหน่วยลงทุนในกองทุน PE จากนักลงทุนเดิม เช่น บริษัทประกันภัย กองทุนบำเหน็จบำนาญ หรือกองทุนมูลนิธิ (endowments) เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้พวกเขา ในขณะเดียวกัน ฝั่งของ นักลงทุน ก็ได้ประโยชน์จากการซื้อสินทรัพย์เหล่านี้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือ ซื้อที่ส่วนลด (discount) จึงเป็นโอกาสให้นักลงทุนอย่างกองทุนของ Franklin Templeton ที่สามารถเข้าซื้อได้ในราคาส่วนลด (Discount) และยังมีความได้เปรียบเชิงราคาที่ช่วยลดความเสี่ยงขาดทุน (Cushion) จากส่วนลดที่ได้รับ

อีกหนึ่งจุดเด่นของการลงทุนใน Private Equity Secondary ยังช่วยลดความเสี่ยงจาก J-Curve Effect โดยการเข้าลงทุนในช่วงที่กิจการเริ่มมีกระแสเงินสดแล้ว นักลงทุนจึงสามารถเริ่มรับ Early Cash Distribution ได้เร็วกว่าการลงทุนในระยะ Early Stage ที่ต้องรอเวลาให้ธุรกิจเติบโตและทำกำไร เมื่อเปรียบเทียบกับกับสินทรัพย์ดั้งเดิม ความแตกต่างของผลการดำเนินงานระหว่างผู้จัดการกองทุนที่เก่งกับทั่วไปอาจอยู่ที่เพียง 2–3% แต่ในโลกของ Private Assets ความแตกต่างดังกล่าวอาจสูงถึง 20% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเชี่ยวชาญของผู้จัดการกองทุนคือหัวใจสำคัญ

สำหรับการลงทุนใน Franklin Lexington PE Secondaries Fund ที่บริหารโดย Lexington Partners ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้าน Private Equity Secondary ด้วยประสบการณ์ยาวนาน โดยมี Target Return อยู่ที่ 11-13% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่มุ่งเน้นความสบายใจให้กับผู้ลงทุนมากกว่าการคาดหวังผลตอบแทนแบบหวือหวา และแม้ว่า Private Equity Secondary จะถือเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ แต่กองทุนได้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับนักลงทุนทั่วไปมากขึ้น ด้วยการเปิดรับซื้อหน่วยลงทุนได้ทุกเดือน และเปิดขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกไตรมาส โดยมีการกันเงินสำรองไว้ 5–15% ของมูลค่ากองทุนเพื่อรองรับความต้องการด้านสภาพคล่องของนักลงทุน

นายเอ็ดวิน ชาน กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายโซลูชั่นสำหรับลูกค้า ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท iCapital เปิดเผยว่า Hedge Fund เป็นหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถปรับใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายกว่าสินทรัพย์แบบดั้งเดิม ( Traditional Asset ) โดยมีจุดเด่นในการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในทุกภาวะตลาด พร้อมลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ หากนักลงทุนปรับพอร์ตเดิมที่เน้นหุ้น และตราสารหนี้ เพิ่มสัดส่วน Hedge Fund เข้ามาในพอร์ตการลงทุน จะส่งผลให้ พอร์ตการลงทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ ความผันผวนของพอร์ตการลงทุนลดลง

ทั้งนี้ จากข้อมูลย้อนหลัง 50 ปี การลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ มีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน (Positive Correlation ) คือหุ้นขึ้นตราสารหนี้ก็ขึ้นด้วย หุ้นลงตราสารหนี้ก็ลง มักเป็นช่วงเศรษฐกิจที่มีภาวะเงินเฟ้อสูง ขณะที่ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ หุ้นและตราสารหนี้มีความสัมพันธ์เชิงลบ ( Negative Correlation) คือหุ้นขึ้นตราสารหนี้ลง ซึ่งหากหุ้นไม่ดี ตราสารหนี้ยังช่วยพยุงพอร์ตของเราได้ แต่ในปัจจุบันโลกกลับเข้าสู่ภาวะที่สินทรัพย์ทั้งสองมีความสัมพันธ์เชิงบวกอีกครั้ง จึงทำให้การกระจายความเสี่ยงด้วยหุ้น และตราสารหนี้ ไม่เพียงพออีกต่อไป จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ Hedge Fund เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดพอร์ตลงทุนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่า Fed อาจมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยภายใน 12–18 เดือนข้างหน้า แต่ระดับดอกเบี้ยโดยรวมก็ยังถือว่าสูงเมื่อเทียบกับในอดีต ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กลยุทธ์หลากหลายของ Hedge Fund สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้

นายหลิง กว๊อก หุ้นส่วนและประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน (CIO) บริษัท Quantum GBL Asset Management เปิดเผยว่า จากการศึกษาระยะยาวเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินลงทุนของกองทุน Endowment Fund ของมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก พบว่า การลงทุนใน Hedge Fund สามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่า พร้อมลดความผันผวนของพอร์ตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในบริบทของการลงทุนระยะยาว

จากข้อมูลย้อนหลัง 60 ปี หากเริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ และจัดสรรพอร์ตในลักษณะ หุ้น 70% และตราสารหนี้ 30% และมีการถอนเงินมาใช้จ่ายปีละ 5% ตามลักษณะการลงทุนของกองทุน Endowment Fund หรือ Family Office ส่วนใหญ่พบว่า มีเพียง 2 ช่วงเวลาเท่านั้นในรอบ 60 ปี ที่พอร์ตยังคงสร้างผลตอบแทนสุทธิเป็นบวกหลังการถอนเงิน ซึ่งสะท้อนว่า การลงทุนเฉพาะในสินทรัพย์ดั้งเดิม (Traditional Asset) ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ในทุกภาวะตลาด

ในทางกลับกัน หากมีการจัดสรรเงินลงทุนเพียงเล็กน้อยไปยัง Hedge Fund ก็สามารถเพิ่มผลตอบแทนเฉลี่ยได้อีกประมาณ 1% ซึ่งแม้จะดูเหมือนเล็กน้อย แต่ส่งผลให้ผลตอบแทนระยะยาวเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้พอร์ตมีความยั่งยืนมากขึ้น

การศึกษาผลตอบแทนของกองทุน Endowment Fund จากมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ จำนวน 118 แห่ง ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา พบว่า มหาวิทยาลัยที่มีผลตอบแทนดีที่สุดมีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 12.7% ต่อปี ขณะที่กลุ่มที่ต่ำสุดอยู่ที่ 4.7% ต่อปี หากจัดอันดับเป็น Quartile จะพบว่า กลุ่ม First Quartile ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.7% ต่อปี ส่วน Last Quartile อยู่ที่ 7.1% ต่อปี ความแตกต่างเพียง 1.6% เมื่อคำนวณแบบทบต้นในระยะ 25 ปี จะทำให้พอร์ตมีผลต่างของมูลค่าสูงถึง 3 เท่า โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่างคือ ความสามารถในการเข้าถึงกลยุทธ์การลงทุนขั้นสูงของ Hedge Fund

Hedge Fund ยังมีจุดเด่นด้านการบริหารความเสี่ยงด้วยกลยุทธ์ระดับมืออาชีพ เช่น Long/Short, Event-Driven และ Global Macro Strategy แม้ Hedge Fund ในอดีตจะสงวนไว้เฉพาะนักลงทุนรายใหญ่หรือสถาบันเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน ด้วยพัฒนาการของแพลตฟอร์มอย่าง Quantum GBL และ iCapital ได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนกลุ่ม Wealth ทั่วไปเข้าถึงกองทุนระดับโลกเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ด้วยวงเงินลงทุนที่ยืดหยุ่นและโครงสร้างที่ออกแบบมาเพื่อรองรับนักลงทุนรายบุคคล

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก BTimes

กูรูมองไทยปิดดีลภาษีสหรัฐ 19% ต่ำลงจากเดิม ใกล้เคียงเพื่อนบ้าน เปิดโอกาสให้ไทยรอดไปพร้อมกัน แนะมีแผนระยะยาวลดเกินดุลการค้าสหรัฐฯ ระวังสงครามการค้าสหรัฐ-จีน

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ฮุน มาเนต โพสต์ร่ายยาวขอบคุณ ปธน.ทรัมป์ ลดภาษีมากถึง 30% จากเดิม 49% เหลือ 19% ขอบคุณที่เข้าใจและให้โอกาสกัมพูชาพัฒนาเศรษฐกิจ-การค้ากับสหรัฐ เผยร้องขอทรัมป์ลดลงเหลือเท่าไหร่ก็ได้ที่ช่วยกัมพูชาพัฒนาประเทศ

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รัฐมนตรีคลังพิชัย ชี้สหรัฐเก็บภาษีไทย 19% คือมิตรภาพ และพันธมิตรแน่นแฟ้นของไทยกับอเมริกา ช่วยไทยยังแข่งขันในโลกได้

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ปิดฉากเจ้าแห่งซิมมือถือราคาประหยัด ซิมเพนกวินยุติบริการเมื่อ 31 ก.ค. จุดพลุแคมเปญสุดดังในอดีต โทรถูกไม่ดูดเน็ต

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความหุ้น การลงทุนอื่น ๆ

หุ้นไทยภาคเช้า ปิดลบ 5.20 จุด รับแรงขายทำกำไร หลังข่าวดีปิดดีลภาษีสหรัฐฯ ใกล้คาดการณ์

การเงินธนาคาร

FWD ประกันชีวิต อัปเกรดทักษะตัวแทนแบบครบเซ็ต ด้วยระบบการเรียนรู้ที่เข้าใจทุกก้าวของการเติบโต

สยามรัฐ

SUPER พร้อม!ฐานะการเงินแกร่ง ลุยโครงการโรงไฟฟ้า 185.50 MW

Share2Trade

เลขาฯ ก.ล.ต. ชี้ไทยได้ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 19% หนุนตลาดทุนไทยฟื้น

การเงินธนาคาร

ไทยได้ภาษี 19% จากสหรัฐฯ! แต่...ต้องแลกอะไร? ดีลนี้ใครได้–ใครเสีย?

Share2Trade

ตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่งตั้ง “นางพรรณวดี ลดาวัลย์ ณ อยุธยา” ขึ้นแท่นรองผู้จัดการ (CPO) เริ่ม 1 ส.ค.68 นี้!

The Better

APO พุ่งแรง 13.74% บอร์ดไฟเขียว “จิตบุณย์” นั่งเก้าอี้ CEO

หุ้นวิชั่น

CEO Readyplanet โชว์วิสัยทัศน์ 25 ปี บนเวที SaaS Connect Thailand 2025 เผยเส้นทางสู่ IPO ตอกย้ำผู้นำ MarTech ไทย เติบโตยั่งยืน

Share2Trade

ข่าวและบทความยอดนิยม

อันดับความเชี่ยวชาญไทย หลุด 10 อันดับเอเชียแปซิฟิก แพ้เวียดนาม-สิงคโปร์ | คุยกับบัญชา | 21 ก.ค. 68

BTimes

พาณิชย์ มั่นใจสหรัฐฯ ประกาศภาษีไทยใน 24 ชั่วโมงนี้ ลุยตั้งศูนย์วันสต๊อปเซอร์วิส ดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษี

BTimes

ปธ.กมธ.ต่างประเทศ หนุน รัฐบาล ยื่นฟ้องศาลโลก ปมกัมพูชาก่ออาชญากรรมสงคราม

BTimes
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...