ลิเวอร์พูล ปิดทัวร์ เอเชีย เมื่อฟุตบอลและการตลาดเดินคู่กัน
ดีลระดับหลายล้านปอนด์ได้ถูกจับมือกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ เช่น Google Pixel, Peloton, UPS และ Orion Innovation
ขณะเดียวกัน ตลาดเอเชียยังคงมีบทบาทสำคัญมาเสมอ โดยจากฐานข้อมูลของสโมสร ลิเวอร์พูล มีแฟนบอลใน เอเชีย เกือบ 250 ล้านคน ซึ่งถือเป็นภูมิภาคที่ทำรายได้จากการค้าปลีกสูงสุดของสโมสร
ปัจจุบัน ลิเวอร์พูล มีร้านค้าปลีกที่เป็นอิสระ 20 แห่งทั่วโลก โดย 9 แห่งอยู่ในเอเชีย ล่าสุดเพิ่งเปิดร้านใหม่ที่ ฮ่องกง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีสโมสรแฟนคลับอย่างเป็นทางการถึง 48 แห่งกระจายอยู่ทั่วภูมิภาค
นี่จึงเป็นเหตุผลที่แบรนด์อย่าง Standard Chartered (สปอนเซอร์เสื้อแข่ง) และ AXA (สปอนเซอร์ชุดซ้อม) ยังจับมือกับสโมสร รวมถึงพันธมิตรอย่าง Japan Airlines และสำนักพิมพ์ Kodansha จากโตเกียว
กลับมาเรื่องในสนาม…
นี่คือเกมสุดท้ายที่เหล่านักเตะจะใส่ชุดแข่งไนกี้ ก่อนเปิดตัวชุดแข่ง อาดิดาส ทางการในวันที่ 1 สิงหาคม
ดีลกับ อาดิดาส ถูกประเมินว่าจะสร้างรายได้มากกว่าสัญญากับ Nike อย่างมีนัยสำคัญ แม้ตัวเลขจะเป็นความลับ แต่ก็คาดว่าจะสูงกว่า 60 ล้านปอนด์ต่อปี ที่เคยมีการรายงานไว้ก่อนหน้านี้
ลิเวอร์พูล ยังสามารถผลิตและขายสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองได้เช่นเดิม ไม่ว่าจะผ่านแอปมือถือที่เปิดตัวใหม่ หรือเครือข่ายการจัดจำหน่ายทั่วโลก
เบน แลตตี้ ซีซีโอ หรือประธานฝ่ายพาณิชย์ของสโมสรกล่าวว่า…
"โมเดลของเราต่างจากสโมสรอื่น เพราะเราบริหารจัดการเองทั้งหมด ไม่ได้จ้างคนนอกมาดูแล"
"สิ่งสำคัญคือการเข้าถึงแฟนบอลทั่วโลกให้ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ"
"เรามียอดขายชุดแข่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์กับไนกี้ และการแข่งขันในตลาดก็รุนแรง แต่ท้ายที่สุด อาดิดาส คือตัวเลือกที่เราตัดสินใจเดินหน้าต่อด้วย"
"เหมือนที่ บิลลี่ โฮแกน พูดไว้ ลิเวอร์พูล คือหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเราต้องทำตัวให้สมกับความยิ่งใหญ่นั้น ทั้งในและนอกสนาม"
…
ที่ นิสสัน สเตเดี้ยม เฮดโค้ชอาร์เน่อ ตัดสินใจส่งชุดใหญ่เกือบเต็มสูบลงสนาม
เมื่อไร้ อลีสซง เบ็คเกอร์ หน้าที่บนหน้าปากประตูคือ จอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี่ แนวรับ มิลอส เคอร์เคซ-คอเนอร์ แบร็ดลี่ย์ ยืนแบ็กซ้ายขวา และคู่เซนเตอร์จัด เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เคียงข้าง อิบราฮิม่า โกนาเต้
ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ยืนหมายเลข 10 โดยมี โดมินิค โซโบซไล และ ไรอัน กราเฟนแบร์ก ยืนเป็นหมายเลข 6 ส่วนแนวรุก โคดี้ กัคโป-โม ซาลาห์ แล้วไฮไลท์คือ อูโก้ เอกิติเก้ ออกสตาร์ท
ด้วยสภาพสนามที่ไม่เอื้ออำนวยทำให้การเล่นดูติดขัด เกมรุกไม่ปะติดปะต่อ แต่จุดสังเกตคือความพยายามเล่นทุ่มไกล โดยใช้กำลังแขนของ กราเฟนแบร์ก, การยืนตำแหน่งของ โซโบซไล ที่ต่ำกว่าเพื่อนชาวดัตช์ รวมถึงจังหวะวิ่งขึ้นลงของ เวียร์ตซ์
ครึ่งหลังตอนต้น อาร์เน่อ เปลี่ยน 2 คนส่ง เคอร์ติส โจนส์ กับ ดาร์วิน นูนเญซ แทน กราเฟนแบร์ก และ เอกิติเก้ เพื่อรักษาสมดุลความฟิต
ดาร์วิน มีโอกาสทองจากลูกชิพของ ซาลาห์ ทว่ากลับยิงด้วยซ้ายพลาดไปเอง ไม่นานจากนั้น มารินอส ออกนำจาก อาซาฮี อูเอนากะ
วาตารุ เอ็นโด ลงมาพร้อมเสียงปรบมือพร้อมปลอกแขนกัปตันทีมรับต่อจาก ฟาน ไดค์
ก่อนจะเปลี่ยนตัวออก เวียร์ตซ์ ซัดประตูตีเสมอจากจุดเริ่มต้นที่ โจนส์ ตัดบอลได้ตรงกลางสนามก่อนจะพาบอลไหลให้ซาลาห์ แล้วตบเข้ากลางให้หวดบอลเข้าประตู
การเปลี่ยนตัวล็อตใหญ่ของ อาร์เน่อ นำมาซึ่งความตื่นเต้น เจเรมี่ ฟริมปง, คอสตาส ซิมิกาส, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, เทรย์ นีโยนี่, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์, ริโอ เอ็นกูโมฮา และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ถูกส่งลงมา
สองดาวรุ่งอย่าง นีโยนี่ และ ริโอ แจ้งเกิดทันที ทั้งคู่ช่วยกันทำประตูพา ลิเวอร์พูล แซงชนะ 3-1
บทสรุปเกมนี้ เกมรุกอาจดูไม่หวือหวา แต่ที่ทำให้เห็นเข้าตาคือจังหวะการบีบแย่งบอลจากคู่แข่ง ซึ่งเป็นจังหวะทรานซิชั่นทะลวงเกมรับ
แม้เกมนี้ภาพรวมยังไม่ใช่ฟอร์มที่สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นคือความแข็งแรงในโมเดลธุรกิจ ความกล้าในการเปลี่ยนผ่าน และความมั่นใจในคลื่นลูกใหม่ที่พร้อมจะสร้างชื่อ
พวกเขาไม่ได้แค่ขายเสื้อหรือเซ็นนักเตะ แต่พวกเขากำลังขายความเป็น ลิเวอร์พูล ให้คนทั้งโลกสัมผัสได้
HOSSALONSO