DSI ไม่ปฏิเสธ! สอบเส้นเงินโยง “อนุทิน-เนวิน” ปมฮั้ว ส.ว. ขีดเส้น 2 เดือนรู้เรื่อง
พ.ต.อ.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทย InsideThailand” ถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีฟอกเงินและอั้งยี่ อันมีจุดเริ่มต้นจากกรณีฮั้วการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โดยระบุว่า คดีดังกล่าวเป็นหนึ่งในคดีสำคัญที่สะท้อนถึงความเชื่อมโยงของการทุจริตเชิงโครงสร้าง ซึ่งดีเอสไอได้รับเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากมีความซับซ้อนและเกี่ยวพันกับเครือข่ายบุคคลที่มีอิทธิพลทางการเมือง
โดยคดีฟอกเงินและอั้งยี่ซึ่งอยู่ในความดูแลของดีเอสไอ แม้แยกต่างหากจากคดีเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่ใช้พยานหลักฐานร่วมกันจำนวนมาก โดยในส่วนของดีเอสไอเน้นพิสูจน์ความผิดในฐานความผิดอาญา เช่น การเป็นสมาชิกคณะบุคคลที่มีลักษณะอั้งยี่ รวมถึงการฟอกเงิน ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการกระทำผิดในกระบวนการเลือกตั้ง โดยมีเป้าหมายเพื่อหาผลประโยชน์ตอบแทนผ่านการจัดตั้งเครือข่ายสนับสนุนบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง
ขณะนี้ดีเอสไอได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานคืบหน้าแล้วกว่า 70% โดยเฉพาะการตรวจสอบเส้นทางการเงินหรือ “ไล่เส้นเงิน” ที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงินจูงใจหรือแลกเปลี่ยนตำแหน่ง ซึ่งต้องอาศัยการขอ statement จากธนาคาร รวมถึงการสอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนมากเพื่อวิเคราะห์การโอน การรับโอน และปลายทางของเงินทั้งหมด
“การพิสูจน์คดีฟอกเงิน ต้องมีน้ำหนักหลักฐานในระดับใกล้เคียงกับการปราศจากข้อสงสัย เพื่อให้สามารถดำเนินคดีได้อย่างมั่นคงตามกฎหมาย” พ.ต.อ.ยุทธนากล่าว.
สำหรับประเด็นที่มีการสอบถามถึงรายชื่อบุคคลในเครือข่ายการเมือง โดยเฉพาะกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค, นายเนวิน ชิดชอบ และนายไชยชนก ชิดชอบ ส.ส.บุรีรัมย์ ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีความเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ พ.ต.อ.ยุทธนา กล่าวว่า “ในชั้นนี้ขออนุญาตไม่เปิดเผยรายละเอียดในส่วนของบุคคล เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบพยานหลักฐาน แต่จากการประเมินของเจ้าหน้าที่ เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องบางส่วน ซึ่งหากมีพยานหลักฐานถึงใคร ก็จะดำเนินการตามกระบวนการโดยไม่ละเว้น”
อีกประเด็นสำคัญที่ดีเอสไออยู่ระหว่างดำเนินการ คือการเรียกสอบพยานที่อยู่ในเครือข่ายรอบตัวของ ส.ว.สีน้ำเงิน ทั้งที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยประจำตัว ส.ว. บางราย ซึ่งมีข้อมูลว่ามิได้รู้จักกับ ส.ว. โดยตรง แต่ถูกจัดตั้งมาโดยเครือข่ายภายนอกเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึ่ง พ.ต.อ.ยุทธนา เน้นว่า “นี่คืออีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ต้องสอบให้กระจ่าง เพราะสะท้อนถึงการจัดโครงสร้างการซื้อเสียงในลักษณะองค์กรอาชญากรรม”
นอกจากนี้ พ.ต.อ.ยุทธนา ยังกล่าวว่า การพิสูจน์ความผิดในคดีฟอกเงินสามารถแยกดำเนินคดีในแต่ละกรรม แต่ละการโอนเงินอย่างชัดเจน และมีแนวคำวินิจฉัยจากศาลรองรับว่า แม้พยานหลักฐานจะเป็นชุดเดียวกัน แต่สามารถเอาผิดได้เป็นรายกระทำ ซึ่งทำให้ดีเอสไอสามารถดำเนินการต่อบุคคลหลายรายได้โดยไม่ต้องรอผลจากคดีของ กกต.
อธิบดีดีเอสไอยืนยันว่า ภายในระยะเวลา 1-2 เดือนจากนี้ คดีจะมีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ และอาจมีการแจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม หากน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอ โดยดีเอสไอจะดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และยึดหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัด