24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 19 กรกรฎาคม 2568
24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 19 กรกรฎาคม 2568
>> กรมการจัดหางาน ตรวจเข้มไซต์ก่อสร้างโรงงานฯ ศรีราชา รวบ 55 แรงงานเถื่อน ไม่มีใบอนุญาต เร่งผลักดันกลับประเทศเกิด พร้อมจับ 3 นายจ้าง ฝ่าฝืนกฎหมาย ส่งดำเนินคดี
11.00 น. นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ที่มีแรงงานต่างชาติบางส่วนเข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจ้างแรงงานต่างชาติให้แก่นายจ้างและสถานประกอบการ
กรมการจัดหางาน จึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการด้านการตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างชาติ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบแหล่งจ้างงานในพื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศ เพื่อให้การจ้างงานเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ส่งผลกระทบต่อโอกาสการจ้างงานของแรงงานไทย และเพื่อให้การบริหารจัดการแรงงานต่างชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ
“ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการฯ ร่วมกับ สำนักงานจัดหางานจังหวัดชลบุรี พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบไซต์ก่อนร้าง พบแรงงานต่างชาติกระทำความผิดจำนวน 55 คน แบ่งเป็นสัญชาติจีน 27 คน เมียนมา 23 คน และกัมพูชา 5 คน โดยทั้งหมดทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน และอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ยังพบนายจ้างที่กระทำผิดจำนวน 3 ราย เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบ่อวิน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
>> ผบ.ทบ.กำชับดูแลกำลังพลได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดอย่างดีที่สุด เผยผลพิสูจน์ชัดเป็นทุ่นระเบิดใหม่ ย้ำฝ่ายไทยมีความชอบธรรมในการใช้มาตรการตอบโต้อย่างเหมาะสม พร้อมขอให้เชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
12.00 น. พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์ภายหลังเกิดเหตุการณ์กำลังพลได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิด ระหว่างปฏิบัติลาดตระเวนในพื้นที่ชายแดนช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี และจากการที่พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ออกมาชี้แจงผลการตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุโดย นปท.3 ที่ระบุว่ามีวางทุ่นระเบิดใหม่ จำนวน 8 ทุ่น ในพื้นที่เขตแดนไทย ซึ่งขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แม้ทางฝ่ายกัมพูชาจะไม่ยอมรับ แต่หน่วยจะรายงานข้อเท็จจริงถึงกองทัพบกและรัฐบาล เพื่อประท้วงผ่าน UN ต่อไป พร้อมเตรียมส่งทหารเข้าตรวจพื้นที่ และเก็บกู้ตลอดแนวชายแดน ควบคู่ไปกับใช้การมาตรการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม
จากกรณีดังกล่าว พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งต่อเหตุที่เกิดขึ้น ด้วยกำลังพลของกองทัพบกเปรียบเสมือนสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน โดยทันทีที่ทราบเรื่อง ได้สั่งการให้ต้นสังกัดติดตามการรักษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด รวมถึงดูแลด้านสิทธิและสวัสดิการให้กำลังพลและครอบครัวอย่างเต็มที่ พร้อมยืนยันจะดูแลกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวให้ดีที่สุด โดยกองทัพบกมีความห่วงใยในความรู้สึกของครอบครัว และบุคคลใกล้ชิดของกำลังพลเสมอมา
โดย ผบ.ทบ. ยังระบุอีกว่า การลาดตระเวนของหน่วยทหารเป็นมาตรการเชิงรุกที่ได้ผลในการตรวจตราและรักษาพื้นที่แนวชายแดนไม่ให้ถูกรุกล้ำ แต่อาจต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกนายตระหนักดี และพร้อมทุ่มเทอย่างเต็มกำลังเพื่อภารกิจในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ และจากการตรวจที่เกิดเหตุตามที่ปรากฏความชัดเจนแล้วว่า ทุ่นระเบิดที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นทุ่นระเบิดที่มีการวางขึ้นใหม่ ข้อมูลนี้ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สนับสนุนความชอบธรรมของฝ่ายไทยในการดำเนินมาตรการตอบโต้ต่อฝ่ายกัมพูชา ทั้งในด้านการทหารและด้านการต่างประเทศ
กองทัพบกขอยืนยันว่า จะปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยและเกียรติภูมิของชาติ ด้วยความรอบคอบ และตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในสายตาสังคมโลก และไม่ตกเป็นเป้าของการบิดเบือนจากฝ่ายที่ไม่หวังดี ที่สำคัญกองทัพบกตระหนักดีว่า ประชาชนของไทยและกัมพูชาไม่ใช่คู่ขัดแย้งกัน ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดน มิใช่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ จึงไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์ถูกตีความผิด จนบานปลายไปสู่ความเกลียดชังระหว่างกัน
>> รวบคู่รักซุกโคเคน 20 ล้านคาสนามบินสมุย อ้างถูกหลอกให้เที่ยวฟรี แลกหิ้วของ!
12.22 น. เจ้าหน้าที่ศุลกากร ตำรวจ สภ.บ่อผุด ตม.สุราษฎร์ธานี (สมุย) และพนักงานฝ่ายความมั่นคงสนามบินนานาชาติสมุย จับกุมคู่รักชายหญิงชาวบราซิล 2 ราย นายเดียโก้ อายุ 35 ปี และน.ส.เฟอนาดา อายุ 25 ปี ได้ที่สนามบินนานาชาติเกาะสมุย พร้อมของกลาง โคเคนหนัก 6.63 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ซุกซ่อนในกระเป๋าเดินทาง แจ้งข้อหานำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) โดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนควบคุมตัวส่ง สภ.บ่อผุด ดำเนินคดี
จากการสอบปากคำ ทั้งคู่ให้การว่า เพิ่งเดินทางมาประเทศไทยครั้งแรก โดยเดินทางจากบราซิลต่อเครื่องที่กาตาร์ มาถึงสุวรรณภูมิเมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. ก่อนจะต่อเครื่องมายังเกาะสมุยเมื่อเวลา 10.30 น. ของวันเดียวกัน พร้อมโคเคนที่ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเดินทางปะปนกับเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว ผู้ต้องหายังอ้างว่า ได้รับการชักชวนจากชายชาวบราซิลคนหนึ่งให้มาเที่ยวเกาะสมุยโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งที่พัก อาหาร และการท่องเที่ยว แต่มีข้อตกลงให้นำกระเป๋าเดินทางที่เตรียมไว้ให้มาด้วย เมื่อมาถึงปลายทางจะมีคนมารับกระเป๋าไป และจะได้รับค่าจ้าง 35,000 เรอัลบราซิล (สกุลเงินบราซิล)
>> "บิ๊กเต่า" ชี้เป้าพระชั้นผู้ใหญ่สมณศักดิ์สูงกว่าคดีสีกากอล์ฟ "ใช้เงินวัด 100 ล้านเปย์สีกา"
13.55 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีพระสงฆ์ชั้นสมณศักดิ์สูงรูปหนึ่ง พัวพันสีกาและมีพฤติกรรมส่อทุจริตเงินวัด โดยระบุว่า
"เป็น คนละกรณีกับ สีกากอล์ฟ แต่มีความน่ากังวลไม่แพ้กัน เนื่องจากมีการร้องเรียนเข้ามานาน และ ขณะนี้เริ่มมีหลักฐานชัดเจน สามารถลงรายละเอียดได้แล้ว ย้ำว่า พระรูปนี้มียศสูงกว่าคดีสีกากอล์ฟ แต่ยังไม่ขอระบุว่าอยู่ในระดับใด และ ไม่เคยกล่าวว่าพัวพันถึงระดับสมเด็จ เพียงแต่ทุกอย่างต้องไล่ตรวจสอบตามพยานหลักฐานอย่างเป็นลำดับขั้น พฤติกรรมที่ตรวจพบ พบว่ามีการดึงเงินจากวัดหลายแห่ง รวมกันนับร้อยล้านบาท ไปใช้ในโครงการก่อสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่ ซึ่งดำเนินการมากว่า 10 ปี แต่ยังไม่แล้วเสร็จ อีกทั้งเงินบางส่วนถูกโอนไปเพื่อ ดูแลผู้หญิง และนำไปใช้จ่ายในลักษณะผิดวัตถุประสงค์ ส่วนจะเป็นบัญชีใครนั้น ขอยังไม่เปิดเผยรายละเอียด ทั้งนี้ พฤติกรรมของพระสงฆ์รูปนี้ เข้าข่ายมีความผิด ในเรื่อง ผู้หญิงและเรื่องเงิน"
สำหรับขั้นตอนทางกฎหมาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตำรวจไม่มีอำนาจสั่งให้พระสึก แต่จะนำหลักฐานไปแสดงให้ดู เพื่อให้ ท่านไตร่ตรองเอง พร้อมย้ำว่า ถ้าพระไม่มีจริยวัตร ก็ไม่ควรกราบไหว้
ส่วนจะสามารถออกหมายค้นหรือหมายจับได้เลยหรือไม่นั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ยังไม่ขอลงรายละเอียด แต่มีข้อมูลเพียงพอที่สามารถนำไปพิจารณาทางกฎหมาย และจะดำเนินการตามขั้นตอนโดยไม่รีบร้อน
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยว่า คดีนี้ยังเชื่อมโยงถึงพระอีกหลายรูป โดยเฉพาะคนใกล้ชิดของพระรูปหลัก ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล พร้อมเตรียมรายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายและธรรมวินัย
>> รวบ 2 มือปืน ยิงอริดับคาสนามฟุตบอลหญ้าเทียม หนีกบดานบุรีรัมย์
กรณีมีเหตุวัยรุ่นยิงกันภายในสนามฟุตบอลหญ้าเทียมแห่งหนึ่งในซอยไทยประกัน ซอย 1/5 ถนนเทพารักษ์ ต.างเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ เมื่อเวลา 21.00 น.ของคืนที่ผ่านมาส่งผลให้นายชญามร อายุ 18 ปี ถูกยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
นายไชยวัฒน์ อายุ 20 ปี บาดเจ็บและไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ และนายเอ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี บาดเจ็บสาหัส ต่อมาตำรวจสมุทรปราการได้ออกหมายจับ นายพิศาล หรือโบ้ อายุ 21 ปี และนายธีรนันท์ หรือธงอายุ 20 ปี ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น
>> รวบ 2 มือปืน ยิงอริดับคาสนามฟุตบอลหญ้าเทียม หนีกบดานบุรีรัมย์ สารภาพโดนท้าทาย
15.00 น. จากกรณีเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต 2 ศพ ที่สนามหญ้าเทียม จ.สมุทรปราการ โดยจากการสืบสวนของตำรวจสมุทรปราการ ทราบว่ามือปืนเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันมาก่อน วันเกิดเหตุนายโบ้ มือปืนได้ขี่รถจักรยายนต์มาพร้อมกับนายธง ขับประกบจักรยานยนต์ของชญามร แล้วมีการโต้เถียงกันมาระหว่างทางจนกระทั่งนายนายชญามร ขับรถมาจอดแล้วเดินเข้าไปในสนามฟุตบอลหญ้าเทียม แล้วโต้เถียงกันอีกครั้ง ก่อนนายโบ้ จะชักอาวุธปืนมาจ่อยิงนายชญามร จนล้มลงเสียชีวิต ส่วนนายไชยวัฒน์ ที่เสียชีวิตที่โรงพยาบาล และนายพรมมินทร์ ที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่ใช่คู่อริแต่ถูกลูกหลง เพราะปืนที่นายโบ้ ใช้ยิงเป็นปืนลูกซอง ทำให้ไปโดนคนที่ยืนข้างกันไปด้วย ล่าสุดตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ สามารถจับกุมนายพิศาล หรือโบ้ และนายธีรนันท์ หรือธง ได้แล้วที่จังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างหนีกลับมาหลบซ่อนอยู่ที่บ้าน เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การว่าตนไม่ได้ตั้งใจเป็นอารมย์ชั่ววูบ หลังก่อเหตุได้ขี่รถจักรยายนต์กลับบุรีรัมย์ เจ้าหน้าที่นำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย
>> ชลประทานที่ 1 สั่งพร่องน้ำ เขื่อนแม่งัดฯ-อ่างเก็บน้ำทุกแห่ง รับมือพายุ "วิภา"
15.30 น. นายอัฏฐวิชย์ นาควัชระ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 1 เผยว่า ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่าพายุโซนร้อนวิภา จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ทะเลจีนใต้ และทำให้ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน ส่งผลให้เชียงใหม่มีฝนตกหนักถึงหนักมากในห้วงเวลาดังกล่าว สำนักงานฯ ได้สั่งการให้โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่แฝก แม่งัดสมบูรณ์ชล พร่องน้ำจากเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลในอัตรา 40 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ซึ่งเป็นอัตราเต็มศักยภาพสูงสุด
นอกจากนี้ ยังได้ให้โครงการชลประทานในพื้นที่เร่งพร่องน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทุกแห่งอย่างเต็มกำลัง เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่ในการรองรับปริมาณน้ำฝนที่กำลังจะมาถึง รวมถึงได้สั่งการให้เร่งระบายน้ำในแม่น้ำปิง โดยการเปิดบานระบายของประตูระบายน้ำและฝายทุกแห่งอย่างเต็มที่
ชลประทานที่ 1 สั่งพร่องน้ำ เขื่อนแม่งัดฯ-อ่างเก็บน้ำทุกแห่ง รับมือพายุ "วิภา" อย่างไรก็ตาม สำนักงานฯ มีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ ในการเข้าดำเนินการ และมีการติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกัน-บรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่.
>> ระทึก! เพลิงไหม้รถยนต์บนทางด่วนวอดทั้งคัน
17.00 น. รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้รถยนต์ บนทางด่วนศรีรัช(ช่วงกรมโยธาธิการและผังเมือง) แขวงพญาไท เขตพญาไท กทม. ที่เกิดเหตุทิศทางมุ่งหน้าแจ้งวัฒนะ ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลรามา พบรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า คัมรี่ สีเทา ทะเบียน กทม. สภาพเพลิงลุกไหม้รุนแรง เจ้าหน้าที่จึงใช้ถังเคมีดับเพลิงและน้ำฉีด ประมาณ 10 นาที เพลิงจึงสงบลงพบรถยนต์วอดเสียหายทั้งคัน
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่าสาเหตุเกิดจากระบบเครื่องยนต์ขัดข้อง เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จึงเร่งเคลื่อนย้ายรถยนต์ดังกล่าวออกพ้นพื้นที่บนทางด่วน เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน และรอตรวจสอบหาสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป
>> หนุ่มขับเก๋งชนท้ายรถสายตรวจพังยับ มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย วัดแอลกอฮอล์สูง 181 มก.
01.20 น. วันที่ 20 ก.ค.68 เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง ว่าขอรถรับผู้บาดเจ็บซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังรถยนต์สายตรวจถูกชนท้าย เหตุเกิดบริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ ตรงข้ามทางเข้าซอยวัดลาดปลาดุก ถนนกาญจนาภิเษก ขาเข้า ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จึงเร่งช่วยเหลือ
ที่เกิดเหตุพบรถนั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า อัลติส สีดำ ทะเบียน 4กภ-353 กทม. ชนท้าย รถกระบะสายตรวจ เสียหายทั้ง 2 คัน ผู้ขับขี่รถกระบะสายตรวจ คือ ส.ต.ต.กฤษณต โกมลวรธรรศ อายุ 35 ปี มีอาการบาดเจ็บเจ็บปวดที่หลัง ส่วนคนขับรถนั่งส่วนบุคคล ทราบชื่อคือ นายกร (นามสมมุติ) อายุ 36 ปี เจ็บที่หน้าอก หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่รถนั่งส่วนบุคคล พบว่าสูงถึง 181 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่ากฎหมายกำหนด กู้ภัยจึงนำตัวผู้บาดเจ็บทั้ง 2 ราย ส่งโรงพยาบาลบางบัวทอง
จากการสอบถาม ส.ต.ต.กฤษณต กล่าวว่า ตนเองเป็นพลขับโดยมี ร.ต.ท.ยงยุทธ ฟักเจริญ รอง สวป. เป็นหัวหน้าสายตรวจ ก่อนเกิดเหตุได้เปิดสัญญานไฟไซเรนเพื่อออกตรวจตามเส้นทาง จนกระทั่งมาจอดที่หน้าร้านสะดวกซื้อ หลังจากนั้น ร.ต.ท.ยงยุทธ ลงจากรถเพื่อไปเซ็นการตรวจที่ตู้แดง หน้าร้านสะดวกซื้อได้ประมาณ 5 นาที จู่ๆ ก็ถูกรถเก๋งคันดังกล่าวพุ่งชนท้ายเข้าอย่างแรง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการบันทึกภาพที่เกิดเหตุพร้อมกับนำตัวนายกร (นามสมมุติ) คนขับรถเก๋งไปตรวจร่างกายก่อนเพื่อดูอาการบาดเจ็บ และหลังจากนั้นจะทำการสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป