โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

วรรณกรรม "สามก๊ก" ภาพสะท้อนความเป็น “อนิจจัง” ของประวัติศาสตร์จีนที่ต้อง “แตกแยก”

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว
ภาพคำสาบานในสวนท้อ ซึ่งเป็นการกล่าวร่วมสัตย์สาบานตนเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดระหว่างเล่าปี กวนอู และเตียวหุย (ภาพจาก Wikimedia Commons)

วรรณกรรมสามก๊ก ภาพสะท้อนความเป็นอนิจจัง ของประวัติศาสตร์จีนที่ต้องแตกแยก

หากท่านเป็นสาวก– แฟนวรรณกรรม หรือมีโอกาสได้อ่านผลงานของหลอกว้านจง คือ“สามก๊ก 1 ใน4 วรรณกรรมอมตะของจีน คงเคยเห็นสำนวนหนึ่งที่ถูกใช้เกริ่นนำเพื่ออารัมภบทก่อนเล่าเนื้อเรื่องทั้งหมด เป็นสำนวนแปลจากบทร้อยแก้วในย่อหน้าแรกของต้นฉบับภาษาจีน ความว่า

ธรรมดาของสรรพสิ่งในใต้หล้าเมื่อแยกกันนานย่อมรวมเมื่อรวมกันนานย่อมแยก

หากวิเคราะห์จะพบว่าสำนวนนี้สะท้อนความเป็นวัฏจักรของประวัติศาสตร์จีน เมื่อแผ่นดินจีนรวมกันภายใต้ผู้ปกครองหนึ่งเดียว จากนั้นก็แตกสลายกลายเป็นหลายแว่นแคว้น หลายเจ้าผู้ปกครอง อันสอดคล้องกับเนื้อเรื่องของสามก๊ก

“สามก๊ก” จากจดหมายเหตุสู่วรรณกรรมอมตะ

กลางคริสต์ศตวรรษที่2 ปลายราชวงศ์ฮั่น ทั้งจักรวรรดิเคยอยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของฮ่องเต้พระองค์เดียว ต่อมาเกิดกลียุคจากความล้มเหลวของราชสำนักที่มาพร้อมความฉ้อฉลของเหล่าขันที และมหันตภัยโจรโพกผ้าเหลือง ทำให้ราชวงศ์ฮั่นที่ยืนยงกว่า400 ปี เกิดความแตกแยกเป็นกลุ่มอำนาจของเหล่าขุนศึกที่แย่งชิงดินแดนกัน กระทั่งเกิดเป็นสามก๊ก ได้แก่ แคว้นเว่ย(วุยก๊ก) แคว้นหวู่(ง่อก๊ก) และแคว้นสู่ฮั่น(จ๊กก๊ก)

ก๊กทั้งสามล้วนมีฮ่องเต้ของตน ต่างทำสงครามเป็นระยะเวลากว่า60 ปี เพื่อสถาปนาจักรวรรดิอีกครั้ง สุดท้ายตระกูลซือหม่า ตั้งราชวงศ์จิ้นที่ทรงอำนาจจนสามารถรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวได้ ดังที่กล่าวไปทั้งหมดนี้คือเนื้อเรื่องตามประวัติศาสตร์ ซึ่งปรากฏในจดหมายเหตุสามก๊ก หรือซานกว๋อจื้อ ที่เรียงเรียงโดย“เฉินโซ่ว” อาลักษณ์ในราชวงศ์จิ้น

ส่วนสามก๊กฉบับวรรณกรรมที่เรารู้จักกัน เขียนโดยหลอกว้านจง (เกิด ค.ศ. 1330) มีชีวิตอยู่ช่วงปลายราชวงศ์หยวนถึงต้นราชวงศ์หมิงนั่นหมายความว่าเขาเกิดหลังยุคสามก๊กล่วงเลยไปแล้วกว่าพันปี หลอกว้านจงใช้“ซานกว๋อจื้อ” มาประกอบการประพันธ์สามก๊กฉบับวรรณกรรม หรือซานกว๋อเหยี้ยนอี้ ผูกเรื่องแต่ง ปนเรื่องจริง คล้ายบทละครเพื่อสร้างความสนุก

วรรณกรรมสามก๊กจึงมีความเป็นนวนิยายสูง และสำนวน “ธรรมดาของสรรพสิ่งในใต้หล้า เมื่อแยกกันนานย่อมรวม เมื่อรวมกันนานย่อมแยก” ปรากฏครั้งแรกในวรรณกรรมของเขานี้เอง

ไม่ว่าหลอกว้านจงจะจงใจหรือไม่ก็ตาม สำนวนนี้ได้สะท้อนความ“อนิจจัง ของสภาพบ้านเมือง เพราะอธิบายการสลับไป–มาระหว่างความเป็นเอกภาพกับความแตกแยก เป็นวัฏจักรที่หมุนเวียนแม้ในสรรพสิ่งอื่น ๆ ด้วย ยิ่งหากได้ศึกษาประวัติศาสตร์จีนจะพบว่าสำนวนนี้ไม่ได้สะท้อนแค่ยุคสามก๊กแค่ยุคเดียว แต่ได้เข้าถึงแก่นสำคัญของประวัติศาสตร์จีน โดยตลอดสมัยประวัติศาสตร์ จีนวนเวียนอยู่กับช่วงเวลาที่รวมเป็นจักรวรรดิและแตกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย ซ้ำร้ายบางยุคสมัยกินเวลายาวนานกว่าสามก๊กเสียอีก หากสำนวนเปรียบเหมือนการถ่ายทอดโลกทัศน์ของหลอกว้านจง การอธิบายสภาวะดังกล่าวด้วยเหตุการณ์ประวัติศาสตร์จะแทบไม่ต่างจากการเล่าประวัติศาสตร์จีนตลอด4,000 ปีเลย

วัฏจักรแห่งอำนาจ

ประมาณ2,000 ก่อนคริสตกาล จีนเริ่มต้นยุค3 ราชวงศ์แรกได้แก่ ราชวงศ์เซี่ย ชาง และโจว (ตะวันตก) ระบอบกษัตริย์ซึ่งพัฒนาจากผู้นำชนเผ่ายังไม่มีแนวคิดโอรสสวรรค์ที่ชัดเจน โครงสร้างรัฐยังเป็นสังคมทาสและระบบศักดินา มีการกระจายอำนาจโดยการส่งชนชั้นสูงไปปกครองเมืองหรือแคว้นต่าง ๆ ทำให้ขาดความเป็นเอกภาพ

เมื่อเข้าสู่สมัยราชวงศ์โจวตะวันออก ที่แบ่งเป็น2 ยุค คือ ยุคชุนชิว (770-476 ก่อนคริสตกาล) แบ่งเป็นแว่นแคว้นมากมายที่ค่อนข้างเป็นอิสระต่อราชสำนัก ระบบศักดินาทำให้แว่นแคว้นเพิ่มพูนอำนาจ หลังเกิดสงครามขยายอำนาจจึงเข้าสู่ยุคจ้านกว๋อ(475-221 ก่อนคริสตกาล) ที่เหลือแคว้นใหญ่เพียง7 แคว้น ทำสงครามห้ำหั่นกัน แผ่นดินจีนยิ่งห่างไกลจากความเป็นเอกภาพ กระทั่งฉินอ๋องสามารถผนวกแคว้นทั้ง7 และสถาปนาราชวงศ์ฉินสำเร็จ

ราชวงศ์ฉิน(221-206 ปีก่อนคริสตกาล) กลายเป็นราชวงศ์แรกที่ปกครองจีนอย่างเป็นเอกภาพ แต่การปกครองอย่างโหดเหี้ยมและกดขี่ ทำให้จักรวรรดิฉินเผชิญกบฏชาวนาที่ลุกลามไปทั่ว ไม่นานก็ปรากฏกลุ่มต่อต้านมากมายมุ่งโค่นล้มราชวงศ์ฉิน

หนึ่งในกลุ่มผู้กล้า คือ หลิวปัง(พระเจ้าฮั่นเกาจู่) สามารถพิชิตกลุ่มอำนาจอื่น ๆ แล้วสถาปนา ราชวงศ์ฮั่น(206 ปีก่อนคริสตกาล– ค.ศ. 220) อันเป็นจุดเริ่มต้นยุคแห่งความภาคภูมิใจของชาวจีน ราชวงศ์ฮั่นพยายามที่จะสร้างจักรวรรดิให้ยิ่งใหญ่ ส่งเสริมอำนาจแก่ศูนย์กลางการปกครองให้มีเสถียรภาพ ทำให้บ้านเมืองสงบสุข สภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประเพณีรุ่งเรือง จนได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคแห่งความร่มเย็นเป็นสุข

ผืนแผ่นดินจีนประกอบด้วยชาติพันธ์ุมากมาย ชาวจีนกระจายตัวอาศัยในพื้นที่เขตลุ่มแม่น้ำฮวงเหอและฉางเจียง ชนกลุ่มหลักนี้เรียกตนเองว่าชาวฮั่น แทนการเรียกตามชื่อแคว้นหลังการสถาปนาราชวงศ์ฮั่น ขณะพื้นที่ห่างไกลออกไปทางใต้ ภาคตะวันตก และที่ราบทางเหนือ ยังมีชาวเขาและกลุ่มชนเผ่าอนารยชนที่ชาวฮั่นเรียกว่าชนเผ่านอกด่าน ซึ่งจักรพรรดิฮั่นพยายามอย่างยิ่งที่จะสานสัมพันธ์ เพื่อป้องกันไม่ให้ราชวงศ์ต้องเผชิญหน้ากับคนป่าแดนเถื่อน เพราะคนกลุ่มนี้เคยก่อปัญหาให้ชาวจีนและสั่นคลอนอำนาจราชสำนัก อันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จักรวรรดิในอดีตล่มสลาย

ช่วงเวลาสี่ร้อยกว่าปีของราชวงศ์ฮั่น หลายครั้งที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของทางการ เหตุเหล่านี้หากถูกซ้ำเติมด้วยการแก้ปัญหาที่ไม่ดีพอ หรือแม้แต่การฉ้อราษฎร์บังหลวง มักเป็นที่มาของการก่อกบฏและการจลาจลโดยชาวนาเป็นระยะ แต่ราชสำนักสามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้เสมอมา หากไม่นับการสูญเสียอำนาจช่วงสั้น ๆ จากขุนนางที่สถาปนาราชวงศ์ใหม่(ราชวงศ์ซิน) ถือว่าราชสำนักฮั่นมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งพอสมควรก่อนถึงสมัยปลายราชวงศ์

กลางคริสต์ศตวรรษที่2ความอ่อนแอที่เกิดจากภายใน มีตัวการคือ ขุนนาง เชื้อพระวงศ์ และขันทีที่รวบอำนาจไว้กับตนและพวกพ้อง สร้างยุคแห่งความทุกข์เข็ญไปทั่ว เค้าลางแห่งความแตกแยกจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายการต่อต้านจากประชาชนทวีความรุนแรงจนเกิดการปฏิวัติโดยชาวนาที่ยิ่งใหญ่และรุนแรงกว่าครั้งใด ๆ เรียกว่า“โจรโพกผ้าเหลือง”

แม้ถูกปราบปราม แต่การหยืนหยัดต่อสู้กว่า30 ปีของโจรโพกผ้าเหลือง ส่งผลให้ราชวงศ์ฮั่นที่เสื่อมโทรมอยู่แล้วเกือบสิ้นอำนาจ กระทั่ง ค.ศ. 196 เฉาเชา(โจโฉ) เชิญฮ่องเต้เสด็จไปยังเมืองสวี่ซาง(ฮูโต๋) เสมือนเป็นการปิดฉากราชวงศ์ฮั่นโดยปริยาย ราชสำนักเหลือเพียงชื่อและถูกใช้เพื่ออ้างความชอบธรรมเท่านั้น สภาวะนี้เองนำไปสู่ยุคสามก๊ก ก่อนสุดท้าย สือหม่าหยัน(สุมาเอี๋ยน) เป็นผู้สถาปนาราชวงศ์จิ้น ยุติยุคแห่งความแตกแยกและรวมแผ่นดินจีนขึ้นใหม่อีกครั้ง

สิ้นยุค สามก๊กเอกภาพยังไม่ยั่งยืน

ชะตากรรมของราชวงศ์จิ้นแทบไม่ต่างจากราชวงศ์ฉิน เพราะมีสงครามกลางเมือง ทั้งชนเผ่านอกด่านหลั่งไหลเข้ามา ราชวงศ์จิ้นคงอยู่ไม่นานก็ล่มสลาย เข้าสู่ยุคราชวงศ์เหนือ–ใต้และมีการรวมแผ่นดินจีนขึ้นใหม่ในสมัยราชวงศ์สุย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ได้กรุยทางให้ราชวงศ์ถัง(ค.ศ. 618-907) ที่สร้างจักรวรรดิให้มั่นคงจนถูกยกย่องว่าเป็น“ยุคแห่งความร่มเย็นเป็นสุข” อีกครั้ง

หลังผ่านจุดสูงสุดของความมั่งคั่ง จักรวรรดิถังจึงล่มสลาย แผ่นดินกลับสู่ความแตกแยกเป็นหลายแคว้นและเผชิญปัญหาจากอนารยชน แม้แต่ราชวงศ์ซ่ง(ค.ศ. 960-1279) ที่แข็งแกร่งขึ้นมาก็ได้เพียงคุมเชิงกับอาณาจักรชนเผ่าที่รายล้อมเหล่านั้น ก่อนจะถูกราชวงศ์หยวนผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิมองโกล และวัฏจักรแห่งอำนาจนี้ยังคงปรากฏไปจนสิ้นสุดยุคราชวงศ์จีน

อย่างไรก็ตาม จีนแทบไม่เคยขจัดปัญหาเดิม ๆ ที่เป็นเหตุแห่งความแตกแยกได้ ทั้งการฉ้อราษฎร์บังหลวง กบฏชาวนาหรือชนชั้นล่าง การสะสมอำนาจของหัวเมือง หรือแม้แต่การจัดการกับชนเผ่าอนารยชน สิ่งเหล่านี้ยังคงปรากฏทุกยุคสมัย ล่วงเลยไปถึงยุคสังคมนิยม ก็ยังสะท้อนภาพจากสำนวนในวรรณกรรมสามก๊กนี้ได้เสมอ

ประวัติศาสตร์แห่งความเป็นเอกภาพและความแตกแยกของจีน ได้ส่งเสริมโลกทัศน์แก่หลอกว้านจง ในฐานะที่เขามีโอกาสรับรู้เรื่องราวของทั้งก่อนและหลังสมัยสามก๊ก สำนวนธรรมดาของสรรพสิ่งในใต้หล้าเมื่อแยกกันนานย่อมรวมเมื่อรวมกันนานย่อมแยก ที่อาจเป็นร้อยแก้วเกริ่นนำนวนิยาย แต่สำนวนนี้กลับทรงพลังเหมือนสัจธรรม ที่ไม่เพียงใช้อธิบายสมัยสามก๊ก แต่รวมถึงประวัติศาสตร์ประเทศจีนทั้งหมด

นอกจากนี้ วัฏจักรแห่งอำนาจยังสะท้อนผ่านพฤติกรรมของตัวละครสามก๊ก เช่น การชุมนุมทัพ18 หัวเมือง เพื่อปราบต่งจั๋ว(ตั๋งโต๊ะ) แต่สุดท้ายคณะพันธมิตรนี้ขัดแย้งกันเองก่อนจะสลายตัวไป หรือแม้แต่พันธมิตรระหว่างหลิวเป้ย์(เล่าปี่) กับซุนเฉวียน(ซุนกวน) ที่ร่วมต้านทัพเฉาเชา พอจบสงครามพวกเขาก็ผันตัวเป็นศัตรูกัน

สุดท้ายแล้วเราอาจจะพบว่าภายใต้เรื่องราวหมดของสามก๊กมีข้อความหนึ่งที่จริงแท้ที่สุด คือ “ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน”

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

อ้างอิง :

เรืองวิทยาคม. (2546). สามก๊กฉบับคนขายชาติ. กรุงเทพฯ: บ้านพระอาทิตย์.

หลี่เฉวียน. (2556). ประวัติศาสตร์จีนฉบับย่อ. เขมณัฏฐ์ ทรัพย์ชัยเกษม, ผู้แปล. กรุงเทพฯ: มติชน.

จักรวรรดิในกำแพง: ใต้หล้ารวมกันแล้วแยกกัน(โดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล). สืบค้นเมื่อ 17 มิถุนายน 2562, จากhttps://www.matichonweekly.com/column/article_123957

จักรวรรดิในกำแพง: จิ้นตะวันออก“ตั้งอยู่–ดับไป” (โดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล). สืบค้นเมื่อ 17 มิถุนายน 2562, จากhttps://www.matichonweekly.com/column/article_143871

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 21 มิถุนายน 2562

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : วรรณกรรม “สามก๊ก” ภาพสะท้อนความเป็น “อนิจจัง” ของประวัติศาสตร์จีนที่ต้อง “แตกแยก”

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...