กางข้อกฎหมาย “ยุบสภา–โหวตนายกฯ” ไปทางใดก่อนศาลไหนชี้ขาด
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 วิกฤตการเมืองไทยยังไร้ทางออก แม้พรรคประชาชนแถลงสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมเงื่อนไขสำคัญให้ยุบสภาภายใน 4 เดือน และคงสถานะรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่กลับมีข่าวขัดแย้งว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภาไปแล้ว
คำถามสำคัญคือ สภาผู้แทนราษฎรสามารถเดินหน้าโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้เลยหรือไม่ หรือต้องรอความชัดเจนว่าพระราชกฤษฎีกายุบสภาจะมีพระบรมราชวินิจฉัยลงมา หากต้องรอ กฎหมายกำหนดกรอบเวลาไว้หรือไม่
เมื่อพิจารณารัฐธรรมนูญ มาตรา 103 และมาตรา 175 ระบุเพียงว่าการยุบสภาต้องทำโดยพระราชกฤษฎีกา และพระราชกฤษฎีกาต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย แต่ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาว่าต้องโปรดเกล้าฯภายในกี่วัน ขณะที่การโหวตนายกรัฐมนตรีอ้างอิงมาตรา 159 แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าทำได้ก่อนหรือหลัง พ.ร.ฎ.ยุบสภา
ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน อธิบายว่า สมควรรอความชัดเจนของพระราชกฤษฎีกายุบสภาก่อน เพราะถือเป็นเงื่อนไขบังคับ ต่างจากร่างพระราชบัญญัติที่มาตรา 146 กำหนดชัดว่าต้องรอ 90 วัน หากไม่มีพระราชวินิจฉัย แต่กรณีพระราชกฤษฎีกาไม่มีข้อกำหนดเช่นนั้น จึงขึ้นกับพระราชอำนาจโดยตรง
ด้านแหล่งข่าวราชการผู้เชี่ยวชาญกฎหมายการบริหารราชการแผ่นดินระบุว่า ทุกเรื่องที่จะทูลเกล้าฯ จะมีกระบวนการกลั่นกรอง หากมีข้อกฎหมายจะถูกส่งคืนก่อน ไม่เข้าสู่ขั้นตอนลงพระปรมาภิไธย ล่าสุดตรวจสอบแล้วยังไม่มีร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาส่งถึงสำนักราชเลขาธิการ
ท้ายที่สุด หากเกิดข้อโต้แย้งว่าจะเดินหน้ายุบสภาหรือโหวตนายกฯ ก่อนกัน อำนาจในการชี้ขาดย่อมเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครอง ภายหลังมีผู้ยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการ