เริ่มใช้ใบสั่งจราจรโฉมใหม่ แก้ไขให้สอดคล้องคำสั่งปรับเป็นพินัย
เริ่มใช้ใบสั่งจราจรโฉมใหม่ แก้ไขให้สอดคล้องคำสั่งปรับเป็นพินัย
1. แบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจรสำหรับให้กับผู้ขับขี่ ติด ผูกหรือแสดงไว้ที่รถ ให้มีชุดละ 4 แผ่น ได้แก่ แผ่นสีขาว สำหรับให้ผู้ขับขี่ติด ผูกหรือแสดงไว้ที่รถ แผ่นสีเหลือง ใช้สำหรับส่งให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ปรับเป็นพินัยคดีจราจรเพื่อทำการบันทึกข้อมูลใบสั่งในเครื่องคอมพิวเตอร์ของระบบสารสนเทศกกลางที่เชื่อมโยงข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แผ่นสีชมพู ใช้สำหรับมอบให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย และแผ่นสีฟ้า ใช้สำหรับเป็นสำเนาคู่ฉบับเก็บไว้เป็นหลักฐานสำหรับผู้ออกใบสั่ง
2. แบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจรสำหรับส่งทางไปรษณีย์ ให้มีชุดละ 2 แผ่น ได้แก่ แผ่นที่หนึ่ง ใช้สำหรับส่งไปรษณีย์ให้ผู้ขับขี่ เจ้าของรถหรือผู้ครอบครอง แผ่นที่สอง ใช้สำหรับเป็นสำเนาคู่ฉบับเก็บไว้เป็นหลักฐานสำหรับผู้ออกใบสั่ง
3. แบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจรแบบอิเล็กทรอนิกส์ ใช้สำหรับให้ผู้ขับขี่ติด ผูกหรือแสดงไว้ที่รถ
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า การกำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจรฉบับใหม่ที่ออกมาครั้งนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2568 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 และเรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2563 โดยศาลเห็นว่าไม่มีข้อความแจ้งสิทธิในอันที่จะปฏิเสธหรืออุทธรณ์โต้แย้งการกระทำความผิดตามที่ระบุไว้ในใบสั่ง และยังปรากฏคำเตือนว่าหากมิได้ชำระค่าปรับภายในกำหนดโดยไม่มีเหตุอันสมควร อาจต้องรับผิดและต้องรับโทษอีกกระทงหนึ่ง ย่อมทำให้ผู้รับใบสั่งเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีความผิด และมีหน้าที่ต้องชำระค่าปรับตามใบสั่งดังกล่าวเท่านั้น โดยไม่อาจปฏิเสธโต้แย้งหรือดำเนินการในประการอื่นได้ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองคุ้มครองไว้ในมาตรา 29 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวจึงเป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้ ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2563 ที่พิพาทดังกล่าว มิได้มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้เจ้าพนักงานจราจรใช้ดุลพินิจว่า กรณีที่ผู้ขับขี่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 หรือกฎหมายอื่นเกี่ยวกับรถ หรือการใช้ทาง การกระทำของผู้ขับขี่ดังกล่าวสมควรที่เจ้าพนักงานจราจรจะว่ากล่าวตักเตือน เช่น กรณีมีเหตุจำเป็น หรือเป็นการกระทำความผิดครั้งแรก หรือการกระทำของผู้ขับขี่สมควรที่เจ้าพนักงานจราจรจะออกใบสั่งให้ผู้นั้นชำระค่าปรับหรือไม่ และเป็นจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบได้เป็นจำนวนเท่าใด หรือแม้แต่กรณีที่เจ้าพนักงานจราจรไม่พบด้วยตนเอง หรือเป็นการใช้เครื่องอุปกรณ์ต่างๆ เจ้าพนักงานจราจรย่อมมีดุลพินิจดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติใช้ดุลพินิจในการกำหนดค่าปรับกับผู้กระทำความผิดแทนเจ้าพนักงานจราจรหรือเจ้าพนักงานในตำแหน่งอื่น
ไม่ใช่แค่ใบสั่ง แต่คือ ระบบข้อมูลใหม่
เป้าหมายหลักของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ การสร้าง Centralized Database สำหรับข้อมูลใบสั่งจราจรทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีในหลายมิติ:
- ตรวจสอบง่าย: ประชาชนสามารถตรวจสอบใบสั่งของตนเองผ่านช่องทางออนไลน์ได้สะดวกขึ้น
- เชื่อมโยงข้อมูล: สามารถเชื่อมต่อกับหน่วยงานอื่น เช่น กรมการขนส่งทางบก เพื่อบังคับใช้มาตรการตัดคะแนนความประพฤติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดข้อโต้แย้ง: ข้อมูลที่เป็นดิจิทัลและตรวจสอบได้จากส่วนกลางช่วยลดปัญหาและเพิ่มความโปร่งใส
"การปรับเป็นพินัย" คืออะไร?
การปรับเป็นพินัย คือ มาตรการใหม่ที่ใช้สำหรับความผิดเล็กน้อยที่ไม่ร้ายแรง เช่น จอดรถในที่ห้ามจอด ขายของบนทางเท้า หรือไม่ติดป้ายทะเบียน เพื่อให้ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษทางอาญา
รู้จัก "ปรับเป็นพินัย" เมื่อกฎหมายถูกอัปเกรดให้ไม่ใช่คดีอาญา
สิ่งที่มาพร้อมกับใบสั่งใหม่คือแนวคิดทางกฎหมายที่เรียกว่า "การปรับเป็นพินัย" โดยเป็นเรื่องที่ต้องรู้ เพราะมันคือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่
คิดง่ายๆ คือเปลี่ยนจาก "โทษอาญา" ในความผิดจราจรเล็กน้อย (เช่น จอดในที่ห้ามจอด) มาเป็น "ค่าปรับทางบริหาร" ที่จ่ายแล้วจบ โดยมีลักษณะสำคัญคือ
- ไม่เป็นคดีอาญา: ไม่มีการบันทึกประวัติอาชญากรรม ทำให้ผู้กระทำผิดไม่เสียประวัติ
- เน้นการจ่ายค่าปรับ: มุ่งให้เกิดการชำระค่าปรับเพื่อยุติเรื่อง แทนการดำเนินคดีที่ซับซ้อน
- มีความยืดหยุ่น: สามารถพิจารณาค่าปรับตามความเหมาะสมและฐานะทางเศรษฐกิจได้
ดังนั้นการปรับโฉมใบสั่งจราจรในครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับกฎหมายจราจร ในอนาคตเราอาจได้เห็นการพัฒนาต่อยอด เช่น ระบบชำระค่าปรับออนไลน์เต็มรูปแบบ, การแจ้งเตือนใบสั่งผ่านแอปพลิเคชัน หรือแม้กระทั่งการใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการจราจรเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับทั้งการบังคับใช้กฎหมายและความสะดวกสบายของประชาชนไปพร้อมกัน