สงครามโดรน – ผวาเขมรเปิดแนวรบศึกใหม่ ?
ระหว่างการเจรจาทวิภาคีที่มาเลเซียตั้งแต่เมื่อวานซืน4ส.ค.ถึงวันที่ 7ส.ค. แนวรบ หน้างาน การศึกระหว่างไทย-เขมร แม้ไม่มีเสียงปืนหรือระเบิดตลอดแนวรบ แต่ปรากฏร่องรอยความเคลื่อนไหว ที่ไม่น่าไว้วางใจ กับสัญญานรบครั้งใหม่ ที่เริ่มมีการใช้ยุทธวิธีการรบแบบ “สงครามโดรน”
ที่โลกได้เห็นผ่านสงครามยูเครน รัสเซีย และ สงครามชนกลุ่มน้อยกับกองทัพพม่า ไม่ว่าจะเป็นสัญญาน จาก สำนักงานการบินพลเรือนประเทศไทย ที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุมโดรนในประเทศ ที่แม้จะมีการ ประกาศ 2 ฉบับ ในการควบคุมโดรนในการขึ้นบิน ต่อเนื่องกัน โดยครั้งแรก 29 ก.ค. และ 30 ก.ค. เพื่อช่วยอีกแรงกับกองทัพ แต่หลังจากนั้นยังคงมีการเคลื่อนไหว ของโดรนลึกลับ ที่คาดว่าจะเป็นฝ่ายเขมรเข้ามาในพื้นที่ของไทย โดยมีไทม์ไลน์ตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค.
โดยวันที่ 2ส.ค. ที่ จ.อุดร มีการพบว่ามีโดรนลึกลับ บินใกล้กองบิน 23 และ แถวสนามบินนานาชาติ จ.อุดรธานี ทำให้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรต้องมีการเรียกประชุม ฝ่ายต่าง ๆ ถึงมาตรการแอนตี้โดรน โดยเตือนให้ประชาชขนช่วยเฝ้าระวัง ถัดมา 3ส.ค. มีประชาชนพบ โดรนบินเหนืออ่างเก็บน้ำ ลำตะคอง จ.นครราชสีมา ใกล้พื้นที่ทหาร ขณะเดียวกันยังพบโดรนปริศนาตกใส่บ้านของชาวบ้าน บริเวณ อ.ปากช่อง โดยมีเซ็นเซอร์และกล้องใต้ท้อง และรอบทิศทาง
ขณะที่ วันเดียวกัน ที่จ.สุรินทร์ พบโดรนปริศนา ตกแถว อ.เมือง โดยเป็นของฝ่ายไทย ถัดจากนั้น 4ส.ค.ยังพบโดรนบินเข้ามาที่ จ.ปราจีน มากกว่า1จุด ไม่ต่ำกว่า 10 มาบินบริเวณใกล้ๆฐานที่ตั้งของกองพลทหารราบที่ 2 รอ.กองพลบูรพาพยัคฆ์ ใกล้ค่ายพรหมโยธี และ วันเดียวกัน ยังพบโดรน 20 กว่าลำ ที่ จ.จันทบุรี แถว อ.สอยดาว ทั้งหมด ทำให้ ฝ่ายความมั่นคง เริ่มกังวล เพราะแต่ละจุดใกล้เขตทหาร ทำให้วันที่ 4ส.ค. ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาค 2 ทำรายงาน สรุป ณ เวลา 14:00น. ว่า ปัจจุบันไม่มีเหตุการณ์ แต่ยังพบการเพิ่มเติมกำลังของฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง พบการใช้อากาศยานไร้คนขับ ทั้งในพื้นที่แนวชายแดน และ พื้นที่ชั้นใน
โดย พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ระบุถึงประกาศ 2 ฉบับ เป็นการประกาศในพื้นที่ด้านความมั่นคงเพื่อความปลอดภัย ซึ่งหลังจากนั้น ฝ่ายความมั่นคงมีการแจ้งว่ามีการใช้โดรนในพื้นที่ที่นอกเหนือจากพื้นที่ได้ประกาศไปในฉบับแรก ซึ่งพื้นที่ที่ประกาศ จะเป็นพื้นที่ ล่อแหลม และสุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชน ในภาพรวม เพราะอำนาจการประกาศอยู่กับ สำนักงานการบินพลเรือนประเทศไทย โดยยอมรับว่าสาเหตุที่ต้องประกาศ เพราะฝ่ายความมั่นคงมีความกังวลจากระยะหลังมีการบินเข้ามาพื้นที่ชั้นในมมากขึ้นของโดรนปริศนา
ทำให้ต้องประกาศคุมทั้งประเทศ เพราะหลายพื้นที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญแม้ไม่อยู่ในโซนเฝ้าระวัง แต่บางพื้นที่เป็นคลังอาวุธ เป็นสนามบิน โรงไฟฟ้า หรือสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์สำคัญอยู่ ซึ่งในสงครามปัจจุบัน การรบมีการรบทั้งในรูปแบบในชายแดนใช้อาวุธต่อสู้กันไปมา แต่ในต่างประเทศ เราจะเห็นว่ามีการใช้โดรนเข้าไปโจมตีในพื้นที่ชั้นในของประเทศ ซึ่งการประกาศ ไม่สามรถประกาศว่า จะใช้บังคับเฉพาะโดรนชนิดใด เลยต้องประกาศแบบครอบคลุมพื้นที่สำคัญ
ขณะที่ “สามารถ ราชพลสิทธิ์”อดีตรองผู้ว่ากทม.โพสต์ Facebook ว่า “โดรน” ตาบนฟ้า “เห็นก่อน รู้ก่อน ยิงก่อน” ในอดีต…สงครามวัดกันที่จำนวนทหาร ปืน รถถัง และฐานที่มั่น แต่ในศตวรรษที่ 21 นี้ ผู้ชนะ ไม่ใช่แค่คนที่มีกองทัพใหญ่ที่สุด แต่คือคนที่ "ควบคุมฟ้า" ได้ก่อน และไม่มีใครทำหน้าที่นั้นได้ดีไปกว่า "โดรน" โดยระบุแม้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันอย่างเป็นทางการว่ากัมพูชาซื้อโดรนติดอาวุธจากประเทศใดแต่มีสัญญาณที่น่ากังวลว่าโดรนจำนวนหนึ่งถูกนำมาใช้ในภารกิจลาดตระเวนทางอากาศในพื้นที่ใกล้ชายแดน “แม้ยังไม่ยิง…แต่มันกำลังสอดแนม!”วันนี้กัมพูชาซื้อโดรนรบจากต่างประเทศ พรุ่งนี้อาจมีที่ปรึกษาทหารต่างชาติเดินเข้าฐานพนมเปญและมะรืนนี้…อาจมีระเบิดลอยมาจากฟ้า ถึงเวลาแล้วที่เรา “ต้องปกป้องท้องฟ้าไทยให้ปลอดภัยกว่าที่เคย!”
ส่วนไทยเรามีทหารที่มีขีดความสามารถสูง มีเทคโนโลยีพื้นฐาน แต่ถ้าขาดการพัฒนาเรื่องโดรนอย่างจริงจัง ประเทศของเราจะ “เสียเปรียบ” ในสนามรบยุคใหม่อย่างร้ายแรง โดยที่ผ่านมา ไทยไม่ถูกจัด อยู่ในกลุ่มประเทศผู้นำด้านโดรนหรือเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ แต่ก็ได้เริ่มมีการลงทุนวิจัย และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แม้ความพร้อมด้านงบประมาณยังจำกัด ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงควรพิจารณา สนับสนุนให้กองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีงบประมาณเพียงพอในการวิจัยและพัฒนาโดรน รวมทั้งระบบต่อต้านโดรน (Anti-Drone System) อย่างครบวงจร
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews