อย่าพึ่งวางใจเขมร! ‘ทัพภาค2’ชี้ยังต้องระวัง รบ.ตื่นส่ง‘7รมต.’ลงพื้น
“บิ๊กเล็ก” พอใจวงประชุมจีบีซีประสบความสำเร็จ ดึงกัมพูชากลับเข้าพูดคุยแบบทวิภาคี ยัน "มาเลย์-สหรัฐ-จีน" ให้คำมั่นไม่แทรกแซง ปล่อยอาเซียนตกลงกันเอง ย้ำฝ่ายไทยขอแค่ผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ยังไม่เอาทูตทหาร ลั่นเวทีพูดคุยรอบหน้าตามบี้เขมรเก็บกู้ทุ่นระเบิดแน่ พร้อมตั้ง บุ๋ม-ปนัดดา โฆษก ศบ.ทก.จิตอาสา ชน "พลโทมาลี" โฆษกเขมร สู้ข่าวเฟกนิวส์ "กต." กำชับทูต-กงสุลใหญ่-ขรก.ไทยเร่งชี้แจงประชาคมโลก "ภูมิธรรม" ควง "มาริษ" ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ 9 ส.ค. ดูความเสียหายชายแดน "รัฐบาล" ตื่นส่ง 7 รมต.เก็บข้อมูลเยียวยา ปชช. “รังสิมันต์” ห่วงเขมรพลิ้ว แนะไทยรักษาความชอบธรรมเวทีระหว่างประเทศ หนุนใช้เวทีสภาหารือปมเลิก MOU 43-44 "ทภ.2" แจ้งสถานการณ์ชายแดนยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ ขอ ปชช.เฝ้าระวัง
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 8 ส.ค. เวลา 09.10 น. พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการ รมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าภายหลังลงนามข้อตกลงหยุดยิงในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ไทย-กัมพูชา ว่าได้มีการลงนามเอกสาร ซึ่งเราจะขอยึดถือตามเอกสารที่ลงนามร่วมกัน รวมทั้งได้พบกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เราได้ขอคำยืนยันคือ มาเลเซียและอาเซียนจะปล่อยให้ไทยและกัมพูชาตกลงกันเองแบบทวิภาคี จะไม่เข้ามาแทรกแซง ซึ่งมาเลเซียก็ให้คำมั่นแค่เข้ามาสังเกตการณ์ เช่นเดียวกับประเทศสหรัฐอเมริกาและจีน จะปล่อยให้อาเซียนบริหารสถานการณ์กันเอง จะไม่เข้ามาแทรกแซง
พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า สิ่งที่ประสบความสำเร็จในการประชุมครั้งนี้คือ ในห้วงเวลาก่อนหน้านี้กัมพูชาไม่ยอมเข้ามาพูดคุยแบบทวิภาคี แต่การประชุมครั้งนี้กัมพูชาเข้ามาพูดคุย ถือเป็นเป้าหมายที่เราทำสำเร็จเรื่องหนึ่ง แต่ก็ยังมีประชาชนสงสัยว่าเราเชื่อใจกัมพูชาได้หรือไม่ ตนก็ขอเรียนว่าจะใช้แนวทางเดิม คือความมีวุฒิภาวะและดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงความเห็นร่วมกันของนานาชาติใช้เป็นกรอบกับทางกัมพูชา ซึ่งในการประชุมกองเลขาฯ จีบีซี ทางกัมพูชาก็ให้ความร่วมมือ อาจจะมีบางข้อเสนอของเราที่เขายังไม่ยอมรับ คือการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและเรื่องสแกมเมอร์ และมีบางข้อที่เราเองก็ไม่รับข้อเสนอของเขา
"หลังการเจรจาจีบีซีจะมีคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ซึ่งแตกต่างกับทีมผู้สังเกตการณ์ที่มีผู้ช่วยทูตทหารในอาเซียน เป็นเรื่องที่ฝ่ายไทยได้ขอไว้ก่อน เราขอแค่ผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เพื่อไม่ให้มีกองกำลังจากนอกประเทศเข้ามาในไทย ขอให้ประชาชนไว้ใจได้ และเรามองว่ายังไม่จำเป็นต้องให้ผู้ช่วยทูตทหารในอาเซียน เพราะถ้าถึงขั้นนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ เราขอศึกษารายละเอียดกฎหมายของแต่ละประเทศก่อน ยืนยันว่าอะไรก็ตามที่ไม่อยู่ในอำนาจของผมก็จะไม่ทำ ส่วนเรื่องใดที่เกินอำนาจจะนำเข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะสมัยที่ทำ ศบค.โดนไปหลายคดี ผมอยากให้สถานการณ์คลี่คลายเพื่อให้ ศบ.ทก.จบภารกิจโดยเร็ว ไม่ควรอยู่นาน" พล.อ.ณัฐพลกล่าว
รักษาการ รมว.กลาโหมกล่าวว่า ได้แต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว เพื่อให้ช่วยดูสิ่งที่ตนทำอยู่ว่าต้องมีการปรับปรุงแก้ไขอะไรหรือไม่ นอกจากนี้ยังแต่งตั้งที่ปรึกษาประจำตัวจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ อีกประมาณ 8 คน อาทิ ด้านสังคม ประวัติศาสตร์ กฎหมาย และแผนที่ ตนมองเห็นว่างานข้างหน้าเกินกำลัง จึงต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำการทำงาน โดยจะแต่งตั้งในที่ประชุม ศบ.ทก.วันเดียวกันนี้
"ผมได้ประสานกับแม่ทัพภาคที่ 2 ให้เชิญผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัดมาพูดคุยว่าหากสถานการณ์เหมาะสมจะให้ประชาชนกลับภูมิลำเนา โดยให้เร่งดำเนินการ แต่หากมีจังหวัดใดที่แม่ทัพภาคที่ 2 ยังมีความห่วงใย ก็ขอความร่วมมือให้ประชาชนยังอยู่ในศูนย์อพยพก่อน" รักษาการ รมว.กลาโหมกล่าว
บิ๊กเล็กยันตามบี้เก็บทุ่นระเบิด
ถามว่า 2 ข้อเสนอที่กัมพูชายังไม่ตอบรับคือ เรื่องความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และเรื่องความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ กัมพูชาให้เหตุผลอย่างไร พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ไม่ได้ให้ แต่เราพอทราบ เพราะเขายังอาศัยกับระเบิดเป็นเครื่องป้องกันเขาอยู่ ตนมีความรู้สึกว่าที่เขาพูดเพราะก็ยังไม่ไว้ใจฝ่ายเรา ตนถึงได้บอกว่าการเจรจาของฝ่ายเลขาฯ นั้นยากมาก กัมพูชาไม่ไว้ใจฝ่ายไทย ฝ่ายไทยก็ไม่ไว้ใจฝ่ายกัมพูชา ฉะนั้น การตกลงเพื่อให้ได้ข้อยุติ สื่อมวลชนก็จินตนาการเอาแล้วกันว่าความยากมันขนาดไหน ไม่ได้เป็นการพูดคุยทั่วไป จึงขอชื่นชมและขอบคุณฝ่ายเลขาฯ มากๆ ที่สามารถบรรลุข้อเสนอของเรา และได้ข้อสรุปที่เหมาะสมในสถานการณ์อย่างนี้
ซักว่าจะนำข้อเสนอดังกล่าวไปหารือในเวทีต่อไปอย่างไร พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ในการประชุมจีบีซีครั้งต่อไปเราก็จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะยอมรับ เมื่อถามย้ำว่าเราได้แจ้งทางฝ่ายผู้สังเกตการณ์ด้วยหรือไม่ว่ากัมพูชาไม่รับข้อเสนอนี้ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ตนได้พูดไปตอนแถลงข่าวเลย ไม่ใช่แค่ผู้สังเกตการณ์ แต่พูดให้นานาชาติรับทราบด้วยว่าที่เราเสนอไป 2 ข้อนี้ทางฝ่ายกัมพูชาไม่รับ
ถามถึงกรณี พล.อ.ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา โพสต์จะเสนอชื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า เรื่องนี้ตนขออนุญาตไม่ตอบ ลำพังภาระหน้างานที่ต้องแก้ปัญหาก็หนักอยู่แล้ว ตรงนี้ก็ปล่อยเขาไปแล้วกัน
ต่อมา พล.อ.ณัฐพลพร้อม น.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี หรือ บุ๋ม ปนัดดา อดีตนางสาวไทยและจิตอาสา มาเปิดตัวต่อสื่อมวลชน ในฐานะโฆษก ศบ.ทก.จิตอาสา
พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ได้แต่งตั้ง น.ส.ปนัดดาเป็นโฆษก ศบ.ทก.จิตอาสา ซึ่งบอกตรงๆ จะมาปะทะกับ พล.ท.หญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา อย่างน้อยความได้เปรียบ ตนมั่นใจก็คือสวยกว่าแน่นอน โฆษก ศบ.ทก.เป็นนางสาวไทย แต่โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาไม่ใช่นางสาวกัมพูชา ฉะนั้นขอเปิดตัว น.ส.ปนัดดาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
"การทำงานของ น.ส.ปนัดดา ปัจจุบันก็ทำงานอยู่ใน 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา โดยผมขอความกรุณา น.ส.ปนัดดาให้ช่วยตอบโต้ทางออนไลน์ ซึ่งผมและทีมงานจะสนับสนุนข้อมูลให้กับ น.ส.ปนัดดาในการที่จะแถลงข่าว เพราะฉะนั้นนับแต่วันนี้เป็นต้นไป น.ส.ปนัดดาคือโฆษก ศบ.ทก.จิตอาสา" พล.อ.ณัฐพลกล่าว
ด้าน น.ส.ปนัดดากล่าวว่า ขอฝากตัวกับสื่อและประชาชนทุกคน การที่ตนตัดสินใจมาทำหน้าที่ตรงนี้ เพราะว่าเราอยู่ในพื้นที่มานานและเห็นความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เห็นความอดทนของพี่น้องทหาร ในฐานะที่เป็นจิตอาสาก็อยากจะเป็นสื่อกลางที่ชัดเจน เป็นสื่อกลางที่สามารถคุยกับสื่อ ประชาชน และทหารให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความเป็นจริง รวมถึงการสื่อสารกับต่างประเทศว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยของเรา ทั้งนี้ ฝ่ายทหารได้มีการคุยกันว่า ถ้าจะหาโฆษกมาชนกับกัมพูชาได้มันที่สุดก็น่าจะเป็นตน ก็เลยยินดีที่จะมาช่วยงานเพื่อประเทศไทยของเรา
ถามว่า จะเอาอยู่หรือไม่กับ พล.ท.หญิงมาลี น.ส.ปนัดดากล่าวว่า ตนไม่กลัวเรื่องเฟกนิวส์อยู่แล้ว เพราะเราเป็นคนตรง ชัดเจนอยู่แล้ว นอกจากนี้เชื่อว่าสื่อไทยเองก็รู้จักตนเป็นอย่างดี และเราทำงานด้วยกันมานาน จะรู้ว่าตนชัดเจนแค่ไหน ดังนั้น กับทางฝั่งนั้นเขาพูดอะไรมา พวกเราไม่ค่อยให้ราคาเขาอยู่แล้ว
ซักว่า เราจะสร้างความเชื่อมั่นว่าข่าวที่ออกมาจะไม่มีเฟกนิวส์ จะมีการกลั่นกรองก่อนที่จะนำเสนอ น.ส.ปนัดดากล่าวว่า ใช่ จะไม่มีว่ายิงหรือเปล่า อันนั้นใช่หรือเปล่า อันนี้ใช่หรือเปล่า แต่จะเป็นข่าวที่เป็นจริงเท่านั้นที่จะลงในเพจนี้ และก็ขอฝากไว้ด้วย
กต.สั่งทูตไทยแจงประชาคมโลก
เวลา 12.05 น. พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุม ศบ.ทก.ประจำวันว่า ยังมีการตรวจพบการบินของอากาศยานไร้คนขับหรือโดรนในบางพื้นที่เช่นเดียวกัน ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจเป็นการเข้าข่ายยั่วยุบางจุด โดยทางฝ่ายทหารไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ หน่วยปฏิบัติการได้ดำเนินการตามมาตรการตอบสนองและควบคุมสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มการเฝ้าระวังตรวจตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่องในพื้นที่เสี่ยงโดยเฉพาะ
ส่วนนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมออนไลน์กับเอกอัครราชทูต เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวร และกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลก เรื่องสถานการณ์ไทย-กัมพูชา การประชุมครั้งนี้เพื่อให้เอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่และข้าราชการของไทยทั่วโลกได้รับทราบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อนำไปชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับท่าทีไทย การรักษาผลประโยชน์ของไทยอย่างเต็มที่ ทุกกรอบและองค์กร รวมถึงทุกฝ่ายที่ติดตามสถานการณ์ประเทศไทยในต่างประเทศ โดยให้การชี้แจงของทูตทั้งหลายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
"นายมาริษได้แจ้งผลการประชุมจีบีซี ยืนยันกับทูตทั้งหลายให้สะท้อนกับประชาคมโลกว่า ในการเจรจาและการเดินหน้าไทยจะยึดมั่นข้อเท็จจริง กฎหมาย หลักสากล ความจริงใจและสุจริตใจ เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยเร็ว และยังคงจะรักษาอธิปไตยโดยยึดประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ทั้งนี้ ทางคณะทูต ผู้แทนถาวร และกงสุลใหญ่ได้มีการชี้แจงกับประเทศเจ้าบ้านและในเขตอาณา รวมถึงการให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นด้วย ในส่วนของสำนักงานประเทศไทยที่เป็นคณะผู้แทนถาวรที่ประจำองค์การระหว่างประเทศทั่วโลก ได้ชี้แจงให้ที่ประชุมทราบถึงการติดตามความเคลื่อนไหว ความคืบหน้าในองค์การระหว่างประเทศต่างๆ" นางมาระตีกล่าว
ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันที่ 9 ส.ค. จะเดินทางไปพร้อมนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ เพื่อไปดูสถานที่ต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย เช่น ปั๊มน้ำมัน เนื่องจากมีการระบุว่ายังไม่ได้รับการดูแล และหากสามารถเข้าพื้นที่ได้จะเข้าไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลที่ได้รับความเสียหาย เพื่อตรวจสอบตามที่มีกระแสข่าวว่าไม่ได้รับงบประมาณในการเยียวยาดูแลประชาชน รวมถึงจะลงพื้นที่ไปยัง รพ.สต.ชำเม็ง ต.เสาธงชัย จ.ศรีสะเกษ เพื่อให้ รมว.การต่างประเทศไปเห็นข้อเท็จจริง และสามารถนำเรื่องไปพูดคุยในวงเจรจาจะได้เห็นเป็นรูปธรรม
รักษาการนายกฯ ย้ำว่า ยังไม่มีประกาศให้เดินทางกลับบ้าน เนื่องจากขณะนี้ได้ให้กองทัพภาคที่ 2 ไปหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีเขตติดต่อชายแดนไทย-กัมพูชา ว่ามีความพร้อมหรือไม่ ให้ยึดความปลอดภัยประชาชนเป็นหลัก ดังนั้นหากปลอดภัยก็ให้กลับบ้านได้เลย โดยจะพิจารณาเป็นพื้นที่ไป
รบ.ส่ง 7 รมต.ลงพื้นที่ 4 จังหวัด
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้รัฐมนตรีลงพื้นที่เพื่อรับฟังแนวทางในการกำหนดการเยียวยารอบสอง ที่เกี่ยวข้องกับบ้านเรือนที่เสียหาย รวมทั้งพื้นที่ทางการเกษตร ปศุสัตว์ โดยการตรวจเยี่ยมประชาชนในพื้นที่พักพิงชั่วคราวทั้งหมด 12 แห่ง ใน 4 จังหวัด โดยรัฐมนตรีจะรับฟังแนวทางเพื่อมอบความช่วยเหลือและให้กำลังใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี โดยรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจะเดินทางไปพบปะพี่น้องประชาชนกว่า 30,000 คน ในช่วงวันหยุดต่อเนื่องเสาร์-อาทิตย์ที่ 9-10 ส.ค.นี้
"7 รัฐมนตรีที่ลงพื้นที่จะสรุปข้อมูลกลับมาเพื่อกำหนดแนวทางการเยียวยารอบที่สองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายทางการเกษตร ปศุสัตว์ และในส่วนของบ้านเรือนของประชาชน เพื่อรวบรวมออกเป็นรายละเอียดในการเยียวยาครั้งที่สองต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป" นายจิรายุกล่าว
ด้านนายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงผลการประชุมจีบีซีว่า ผลการเจรจาที่ออกมาเป็นผลลัพธ์ที่คาดหมายเอาไว้อยู่แล้ว และผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ที่กังวลมากกว่านั้นคือสุดท้ายทางกัมพูชาจะสามารถรักษาข้อตกลงได้มากน้อยเพียงใด หากพิจารณาเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่สามารถมองอย่างไว้วางใจได้ จึงเสนอแนะให้ไทยรักษาความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ เพราะสุดท้ายการขัดกันทางอาวุธเมื่อเริ่มต้นและอยู่ชั่วคราวหลังจากยิงกันไปแล้ว สิ่งสำคัญที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ คือการรักษาความชอบธรรม ประเทศไทยจะต้องรักษาความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ให้ได้ หากรักษาได้ในระยะยาว จะสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อประเทศไทยมากกว่า
นายรังสิมันต์กล่าวว่า เรื่องการจะยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 ก็ต้องดูว่าจะมีอะไรมาแทนที่และได้ผลลัพธ์ดีกว่าอย่างไร หากจะยกเลิกในสถานการณ์ตอนนี้ คำถามคือในเวทีนานาชาติจะมองการยกเลิกอย่างไร และท่าทีของกัมพูชาหากไม่ยอมยกเลิก ไทยจะหาทางออกอย่างไร เป็นโจทย์ที่ต้องคิด เข้าใจว่าจะมีการหารือเรื่องนี้ในสภาผู้แทนราษฎรหลังจากที่มีการยื่นญัตติของ สส.และเห็นว่าหากมีการสร้างกลไกในการศึกษาเกี่ยวกับผลได้ผลเสีย MOU 43 MOU 44
"ผมสนับสนุน แต่จะให้ตัดสินใจในทันทีเรื่องของการยกเลิกในสถานการณ์นี้อาจจะเป็นการตัดสินใจที่เร่งด่วนเกินไป ต้องหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะ MOU 44 อาจจะมีปัญหาบางประการเกิดขึ้น" นายรังสิมันต์กล่าว
ถามว่า มองอย่างไรที่ทางกัมพูชาไม่ยอมรับข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดการกับทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนและการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นายรังสิมันต์กล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นเศรษฐกิจที่สำคัญของกัมพูชา ซึ่งนักวิชาการบางคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีถึง 30% และจากข้อมูลหน่วยงานระหว่างประเทศระบุว่าอาจจะถึง 40% หรือมากกว่านั้น แต่เสียดายรัฐบาลไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาขยายผลให้มากกว่านี้ และใช้กรณีแสวงหาพันธมิตรในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนการวางกับระเบิดในพื้นที่ผิดอนุสัญญาออตตาวา ก็ยังมีการขยายผลน้อย เข้าใจบรรยากาศในการเจรจาแต่ละปัญหาที่จะต้องนำไปแก้น่าเสียดายที่ยังไม่เห็น
"ขอชื่นชมบทบาทการทำหน้าที่ของ พล.อ.ณัฐพล แต่ขอตั้งคำถามกระทรวงการต่างประเทศทำอะไร และนายภูมิธรรมควรมีบทบาทมากกว่านี้หรือไม่ ไม่ใช่บทบาทของกองทัพ แต่เป็นบทบาทของรัฐบาลที่ต้องแก้ไขปัญหา ก่อนจะทักท้วงเรื่องของปัญหาการเบิกงบประมาณเยียวยาในพื้นที่ ปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้น ทั้งที่รู้อยู่แล้วและเตรียมการอยู่แล้ว ไม่ควรโทษกันไปมา โดยเฉพาะการโทษจากฝั่งรัฐบาล มันเป็นการแสดงถึงวุฒิภาวะว่ารัฐบาลไม่มีวุฒิภาวะในการรับมือกับปัญหา และก็ใช้วิธีการโทษกันไปมา หากจะดีกว่ารับไปว่าจะแก้ไขบอกเวลากับประชาชนว่าจะได้รับการเยียวยาเมื่อไหร่ ผมคิดว่าการสร้างความชัดเจนในข้อมูลตรงนี้จะทำให้การจัดการกับความคาดหวังของประชาชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายรังสิมันต์กล่าว
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปภาพรวมชายแดนไทย-กัมพูชา ว่ายังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ไม่มีการปะทะ ฝ่ายเรายังคงเตรียมพร้อมและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยยึดมั่นตามข้อตกลงของการประชุม GBC ที่ผ่านมา การดูแลผู้อพยพ ส่วนราชการทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ยังคงให้การสนับสนุนอำนวยความสะดวกในพื้นที่รวบรวมพลเรือนทั้ง 307 จุด ใน 4 จังหวัด ลดลงจากวันที่ 7 ส.ค.49 จุด ปัจจุบันมียอดรวม 57,698 คน ลดลงจากวันที่ 7 สิงหาคม 4,722 คน ทั้งนี้ ฝ่ายปกครองได้จัดชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านเข้าดูแลบ้านเรือนของพี่น้องประชาชนที่อพยพอย่างต่อเนื่อง
"ข้อเน้นย้ำปัจจุบันสถานการณ์ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ ขอให้ประชาชนเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์จากหน่วยงานความมั่นคงเป็นหลัก" ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ระบุ.