“ลูกไฟสีเขียวขนาดใหญ่” มองเห็นเหนือท้องฟ้าหลายท้องที่ในประเทศไทย คาดอาจเป็นดาวตกชนิดระเบิด
เมื่อเวลาใกล้เที่ยงคืนของวันที่ 4 สิงหาคม 2568 หลายพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยต้องหยุดหายใจชั่วขณะ เมื่อลูกไฟสีเขียวพุ่งแหวกฟ้าพร้อมเสียงระเบิดกึกก้อง สะกดสายตาชาวบ้านจากโคราชถึงศรีสะเกษให้มองฟ้าด้วยความตื่นตะลึง บ้างเชื่อว่าเป็นโดรน บ้างคิดว่าเป็นเหตุการณ์ไม่สงบ แต่แท้จริงแล้วนี่คือ "ดาวตกลูกไฟ" (Fireball) ที่เป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และบ่งชี้ถึงวัตถุจากนอกโลกที่เผาไหม้ในชั้นบรรยากาศโลก
จาก “ผีพุ่งไต้” สู่ “Fireball” วิทยาศาสตร์เบื้องหลังลูกไฟ
แม้ในวัฒนธรรมไทยจะคุ้นเคยกับคำว่า "ผีพุ่งไต้" ที่เป็นปรากฏการณ์ลึกลับตามความเชื่อพื้นบ้านไทย โดยเฉพาะในภาคใต้ ที่มักกล่าวถึงการเห็นแสงสว่างพุ่งไปในอากาศตอนกลางคืน คล้ายกับลูกไฟหรือเปลวไฟวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งความจริงคือ ปรากฏการณ์นี้คือ “ดาวตก” ที่เกิดจากสะเก็ดดาวหรือดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กพุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศด้วยความเร็วมหาศาล เมื่อเสียดสีกับอากาศจนร้อนจัด ก็เกิดแสงวาบขึ้นบนท้องฟ้า โดยเฉพาะในกรณีนี้ วัตถุอาจมีองค์ประกอบของธาตุนิกเกิล ซึ่งทำให้เกิดแสงสีเขียวชัดเจนและสว่างโชติมาตร หรือ มาตรวัดความสว่างของวัตถุท้องฟ้า -4.6 หรือความสว่างมากพอจนเทียบความสว่างได้กับดาวศุกร์
เบื้องหลังความสว่างที่วัดได้ ไม่ใช่แค่ "สวยงาม"
นักดาราศาสตร์ใช้ “โชติมาตร” (Magnitude) หรือ มาตรวัดความสว่างของวัตถุท้องฟ้า ในการวัดความสว่างของวัตถุบนท้องฟ้า โดยดาวตกทั่วไปอาจมีความสว่างประมาณ -1 ถึง -2 แต่ครั้งนี้มีความสว่างมากพอจะจัดอยู่ในกลุ่ม "ดาวตกลูกไฟ" (Fireball) ที่มีโชติมาตรต่ำกว่า -3 ซึ่งน้อยครั้งนักจะเกิดในระดับที่คนหลายจังหวัดสามารถเห็นพร้อมกันได้
นอกจากนี้ การที่เกิดเสียงระเบิดตามมาหลังจากเห็นแสง ยังบ่งชี้ว่าดาวตกอาจเกิดการระเบิดกลางอากาศหรือมีขนาดใหญ่พอที่จะทะลุผ่านชั้นบรรยากาศลึกลงมา ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าดาวตกชนิดระเบิด (Bolide) หรือปรากฏการณ์ที่เกิดจากวัตถุจากอวกาศ พุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็วสูง แล้วเกิดการเผาไหม้และ ระเบิดกลางอากาศ เนื่องจากแรงดันอากาศและความร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แท้จริงแล้วโลกเจอแบบนี้ทุกวัน แต่เราไม่ได้เห็นทุกครั้ง
ตามข้อมูลจากสมาคมดาราศาสตร์ไทย โลกของเราต้องรับมวลวัตถุจากอวกาศกว่า 40 ตันต่อวัน เพียงแต่ส่วนใหญ่ตกลงในทะเลหรือพื้นที่ห่างไกล แต่เมื่อใดที่มันพาดผ่านชั้นบรรยากาศใกล้ชุมชน และมีขนาดใหญ่พอ เราจึงได้เห็นปรากฏการณ์น่าตื่นตาเช่นนี้
แม้ปรากฏการณ์นี้จะอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่น่าตั้งคำถามคือ ความเข้าใจของสังคมต่อ “ศัพท์ดาราศาสตร์” ที่ยังสับสนระหว่างดาวตก ลูกไฟ ผีพุ่งไต้ หรือแม้แต่ “อุกกาบาต” ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นชื่อของวัตถุที่ “เหลือตกถึงพื้นโลก” ไม่ใช่เพียงแสงที่เห็นบนฟ้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง