“ทรัมป์” ประกาศ “สหรัฐ” ลงนามข้อตกลงการค้ากับ “จีน” อย่างเป็นทางการแล้ว
"ทรัมป์" ประกาศ "สหรัฐ" ลงนามข้อตกลงการค้ากับ "จีน" อย่างเป็นทางการแล้ว ยุติการเจรจายืดเยื้อนานหลายเดือน รับรองความเข้าใจร่วมจากการหารือที่เจนีวา
วันที่ 27 มิถุนายน 2568 เวลา 13.47 น. เว็บไซต์ Yahoo Finance รายงานว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่าสหรัฐและจีนได้ลงนามในข้อตกลงทางการค้าอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งถือเป็นการยุติการเจรจายืดเยื้อมาหลายเดือน ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการรับรองความเข้าใจร่วมกันที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุในระหว่างการเจรจาที่นครเจนีวาก่อนหน้านี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเสถียรภาพให้กับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ
“เราเพิ่งลงนามกับจีนเมื่อวานนี้” ทรัมป์กล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว
สตีเฟน มิแรน ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์กับ Yahoo Finance ว่า คาดว่ารัฐบาลทรัมป์จะขยายระยะเวลาหยุดเก็บภาษีสำหรับประเทศที่มีท่าทีเจรจาอย่างจริงใจ
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์และเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลส่งสัญญาณพร้อมขยายเส้นตายการเก็บภาษีที่ตั้งไว้ในวันที่ 9 กรกฎาคม เนื่องจากการเจรจาการค้ากับหลายประเทศยังไม่สามารถสรุปข้อตกลงได้ โดยเฉพาะกับประเทศสำคัญอย่างแคนาดาและญี่ปุ่น ซึ่งยังเหลือเวลาอีกเพียงสองสัปดาห์เท่านั้น
อย่างไรก็ตามทรัมป์และเจ้าหน้าที่เตือนว่า หากไม่มีความคืบหน้า เขาอาจประกาศอัตราภาษีใหม่กับแต่ละประเทศทันที ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับสถานะของการเจรจาในปัจจุบัน
มิแรนกล่าวว่า ในระยะยาว เขาไม่คาดว่าอัตราภาษีรวมของสหรัฐจะลดลงต่ำกว่า 10% มากนัก แต่บางประเทศอาจสามารถเจรจาเพื่อให้ได้อัตราภาษีที่เอื้อประโยชน์มากขึ้น ขณะที่บางประเทศอาจต้องเผชิญกับการกลับมาของภาษีที่สูงกว่าเดิม หรือที่เรียกว่า “ภาษีวันปลดปล่อย” (Liberation Day tariffs)
จนถึงขณะนี้ทรัมป์สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหราชอาณาจักรได้แล้ว ส่วนในกรณีของแคนาดา รัฐบาลนายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากสหรัฐภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม หลังจากที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าโลหะจากแคนาดาก่อนหน้านี้ ทั้งสองประเทศตั้งเป้าจะบรรลุข้อตกลงภายในกลางเดือนกรกฎาคมนี้
ด้านสหภาพยุโรป (EU) ก็ประกาศชัดว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ หากสหรัฐคงอัตราภาษีพื้นฐานที่ 10% ตามรายงานของ Bloomberg ขณะเดียวกัน ทรัมป์ก็ขู่ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจาก EU สูงสุดถึง 50%
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการเจรจามาจากท่าทีที่ไม่ชัดเจนและสับสนของทรัมป์ต่อการเก็บภาษี โดยข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่าหลายประเทศลังเลที่จะลงนามในข้อตกลง เพราะไม่มั่นใจว่าภาษีอื่น ๆ ของทรัมป์ เช่น ภาษีโลหะ ชิป และวัตถุดิบอื่น ๆ จะยังคงบังคับใช้อยู่หรือไม่
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจสหรัฐก็กำลังรับมือกับผลกระทบของมาตรการภาษีดังกล่าว ขณะที่รัฐบาลกำลังผลักดันร่างกฎหมายลดภาษีฉบับใหญ่ให้ผ่านวุฒิสภา
เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวในสัปดาห์นี้ว่าเฟด ยังคงรอดูผลกระทบของมาตรการภาษีต่อราคาสินค้าก่อนที่จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย
อ้างอิง : finance.yahoo.com