“แอสเนสตี้” เผยแพร่รายงาน กัมพูชา ล้มเหลวในการแก้ปัญหาค้ามนุษย์-แก๊งคอลเซ็นเตอร์
แอมเนสตี้ หรือ องค์กรนิรโทษกรรมสากล ได้เผยแพร่รายงาน 3 ภาษา ระบุว่า กัมพูชา ล้มเหลวในการปราบปรามแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์
วันนี้ (26 มิถุนายน) องค์กรนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ได้เผยแพร่รายงานสุดสะเทือนขวัญชื่อ “Cambodia: ‘I was someone else’s property’: slavery, human trafficking and torture in Cambodia’s scamming compounds” ซึ่งมีเนื้อหาหลักระบุว่า กัมพูชาล้มเหลวอย่างร้ายแรงในการปราบปรามปัญหาการค้ามนุษย์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์
แอมเนสตี้ฯ ได้บันทึกวิกฤตสิทธิมนุษยชนที่น่าตกใจในอุตสาหกรรมการหลอกลวงในกัมพูชามาตั้งแต่ปี 2565 โดยระบุแหล่งปฏิบัติการฉ้อโกงอย่างน้อย 53 แห่งที่เคยมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นหรือยังคงดำเนินอยู่ ซึ่งรวมถึงการ ค้ามนุษย์, การทรมาน, การปฏิบัติที่โหดร้าย, การใช้แรงงานบังคับ, การใช้แรงงานเด็ก, การกีดกันเสรีภาพ และการเป็นทาส ซึ่งดำเนินการอย่างกว้างขวาง
รายงานยังแสดงให้เห็นถึงรูปแบบของ ความล้มเหลวของรัฐ ซึ่งทำให้เกิดการละเมิดที่ร้ายแรงขึ้น โดยระบุว่าการตอบสนองที่ไม่มีประสิทธิภาพอย่างน่าเวทนาของรัฐบาล และการไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีในการป้องกันและสอบสวนวิกฤตการหลอกลวงอย่างเหมาะสมนั้น บ่งชี้ถึงการยอมรับ และอาจชี้ให้เห็นถึง การสมรู้ร่วมคิดในการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้น
รายงานฉบับดังกล่าวได้เผยแพร่แผนที่ที่ระบุเมืองต่างๆ ในกัมพูชา ซึ่งเป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการของอุตสาหกรรมการหลอกลวง (การฉ้อโกงทางโทรคมนาคม หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์) โดยเน้นย้ำว่า การค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน การบังคับใช้แรงงานเด็ก การทรมานและการทารุณกรรมอื่นๆ การกีดกันเสรีภาพ ตลอดจนการค้าทาสกำลังดำเนินการอย่างเป็นขนาดใหญ่ในวงกว้าง
เนื้อหาสำคัญในรายงานระบุว่า: “สิ่งสำคัญคือ มีการพบว่าในขณะที่ผู้กระทำความผิดหลักของการละเมิดนี้เป็นองค์กรอาชญากรรม รัฐกัมพูชาประสบความล้มเหลวอย่างร้ายแรงในการดำเนินมาตรการที่เพียงพอเพื่อหยุดยั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันแพร่หลายนี้ แม้ว่าจะได้รับแจ้งเกี่ยวกับการละเมิดดังกล่าวในหลายกรณีอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม ความล้มเหลวของรัฐในการปฏิบัติตามภาระผูกพันและความรับผิดชอบทางกฎหมายระหว่างประเทศ มีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิมนุษยชนเหล่านี้”
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถอ่านราบงานฉบับเต็มได้ที่นี่
อ้างอิง : www.amnesty.org
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง