ละเมิด "หยุดยิง" ไทยควรจัดการกัมพูชาอย่างไร? เมื่อสัญญาไม่เป็นสัญญา
สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ยังเกิดขึ้นต่อนเนื่องแม้ 2 ชาติ ได้ตกลงร่วมกันในการประกาศหยุดยิง เพื่อยุติการปะทะทางทหารบริเวณชายแดน โดยข้อตกลงดังกล่าว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 24.00 น. ของวันที่ 28 ก.ค. 2568
เสียงปืนจากฝั่งกัมพูชาได้ทำลายบรรยากาศแห่งสันติภาพ และความไว้เนื้อเชื่อใจ และความร่วมมือที่สร้างสรรค์ระหว่าง 2 ประเทศ และ ทำให้ไทยจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อความปลอดภัยของประชาชนฝั่งไทย
คำถามที่ตามมาคือการหยุดยิงที่ตกลงกันไว้มีผลผูกพันทางกฎหมายหรือไม่? และ ไทยควรดำเนินการอย่างไรภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ
ข้อตกลงหยุดยิง: ไม่ใช่สนธิสัญญา แต่ยังมีน้ำหนัก
ผศ. ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ TNN ONLINE อธิบายว่าในทางกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อตกลงหยุดยิง (ceasefire agreements) โดยมากไม่ถือเป็น "สนธิสัญญา" (treaty) ตามความหมายในอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ซึ่งเป็นเอกสารที่ต้องมีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างชัดเจนและผ่านกระบวนการให้สัตยาบันของรัฐ
อย่างไรก็ตามแม้ข้อตกลงหยุดยิงจะไม่อยู่ในรูปของสนธิสัญญา หากแต่การละเมิดข้อตกลงที่ทำกันไว้โดยสุจริต ย่อมกระทบต่อหลักพื้นฐานที่ว่า "สัญญาต้องเป็นสัญญา" (pacta sunt servanda) ซึ่งมีหลักการที่ว่าข้อตกลงใด ๆ ที่ภาคีได้ให้คำมั่นสัญญา ย่อมต้องปฏิบัติตามอย่างสุจริต
เมื่อมีฝ่ายใดละเมิดข้อตกลง อีกฝ่ายสามารถยกเลิกข้อตกลงนั้นได้ ซึ่งในกรณีนี้ไทยจึงใช้สิทธิป้องกันตนเองได้ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
สิทธิในการป้องกันตนเอง: ไทยมีสิทธิหากการละเมิดเกิดขึ้นจริง
ผศ. ดร.ธนภัทร กล่าวว่ามาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ กำหนดให้รัฐมีสิทธิในการใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเองจากการโจมตีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากสามารถพิสูจน์ได้ว่า ตนตกเป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน
โดยกรณีที่ไทยถูกโจมตีหรือมีหลักฐานชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงก่อน ไทยมีสิทธิที่จะดำเนินการป้องกันในลักษณะที่ได้สัดส่วน (proportional) และจำกัดอยู่ในกรอบของการตอบโต้เชิงรับ ไม่ใช่ขยายความขัดแย้งให้บานปลาย
ทั้งนี้ การกระทำใดของไทยในพื้นที่ชายแดนที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของตน ไม่ถือเป็นการละเมิดหากกระทำภายในเขตแดนและเพื่อป้องกันความมั่นคง
แม้ไทยจะตอบโต้กัมพูชาตามสิทธิฯด้วยสาเหตุถูกละเมิดข้อตกลงหยุดยิง แต่สิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม คือ หลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งห้ามการโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างเด็ดขาด
หากข้อกล่าวหาที่ว่ากัมพูชาตั้งฐานยิงในเขตชุมชน หรือละเมิดหลักไม่เลือกเป้าหมายในการโจมตี (indiscriminate attack) เป็นเรื่องจริง นั่นอาจเข้าข่ายการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอาจถูกตีความว่าเป็น “อาชญากรรมสงคราม” ได้
แนะ "ไทย" ปรับกลยุทธ์จากรุกเป็นรับ
ผศ. ดร.ธนภัทร เห็นว่า ไทยควรยกระดับการดำเนินการให้มากกว่าการแถลงข่าวตอบโต้กัมพูชาเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นการดำเนินการตอบโต้ในลักษณะ "ตั้งรับ" โดยเสนอแนวทางไว้ 4 ข้อ
1.การรวบรวมหลักฐาน
ไทยควรรวบรวมหลักฐานการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงโดยกัมพูชาอย่างเป็นระบบ ทั้งในรูปภาพ วิดีโอ รายงานข่าว และข้อมูลทางการ เพื่อแสดงต่อองค์กรระหว่างประเทศ
2. การยื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC)
ที่ผ่านมาไทยมักรอให้มีข้อกล่าวหาจากฝ่ายกัมพูชา แล้วจึงชี้แจงกลับ ซึ่ง UNSC จะไม่หยิบยกคำชี้แจงของไทยมาเป็นหลักในการพิจารณา แต่หากเปลี่ยนวิธีโดยไทยเป็นผู้ริเริ่ม โดยื่นเรื่องที่ไทยได้รับผลกระทบเข้าสู่ UNSC ด้วยตัวเอง เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณา การพิจารณาในลักษระนี้จะเป็นไปตามกรอบที่ไทยกำหนดเอง และ มีความได้เปรียบในการพิจารณามากกว่า เช่น กรณีกัมพูชาวางทุ่นระเบิดในเขตปลอดระเบิด , การโจมตีใส่พลเรือน และ โรงพยาบาล
3.การแยกเรื่องร้องเรียนอย่างเป็นระบบ
ไทยไม่ควรสรุปรวมทุกประเด็นไว้ในเรื่องเดียว แต่ควรแยกการร้องเรียนเป็นกรณีไป เช่น กรณียิงโรงพยาบาล การใช้ทุ่นระเบิด หรือการละเมิดอธิปไตย เพื่อให้แต่ละประเด็นได้รับการพิจารณาอย่างตรงจุด
4.การดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)
ไทยสามารถใช้บทบัญญัติมาตรา 12(3) ของธรรมนูญกรุงโรมเพื่อยื่นคำร้องเฉพาะเรื่อง เช่น การให้ ICC เข้าสืบสวนพื้นที่ หรือการดำเนินคดีต่อผู้นำกัมพูชาที่อาจเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมสงคราม โดยไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐภาคีของ ICC ก็สามารถทำได้ ซึ่งเชื่อว่าการพุ่งเป้าไปยังผู้นำกัมพูชาในข้อหาเป็นอาชญากรสงครามจะช่วยลดความแข็งกร้าวของกัมพูชาลงได้
ผศ.ดร.ธนภัทร ย้ำว่า ปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ไทยควรเร่งดำเนินการเปลี่ยนจากตั้งรับเป็นรุก ซึ่งจากกรณีดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าการใช้กลไกอาเซียนไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งได้ ดังนั้นรัฐไทยควรใช้ “เครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศ” ที่มีอยู่ในการควบคุมโจทย์ ควบคุมกรอบ และควบคุมเวทีเจรจา เพื่อให้ประเทศไทยไม่ตกเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ยอมตาย ดีกว่าเป็นทาส คำสัตย์ทหาร ร.31 รอ. ที่ยึดมั่นเหนือชีวิต
- กองทัพบกยืนยัน เหตุปะทะภูมะเขือ–ช่องอานม้า ฝ่ายกัมพูชายิงใส่ฐานไทย
- กองทัพภาคที่ 2 ควบคุมตัวทหารกัมพูชาหลังเหตุปะทะ ยึดหลักมนุษยธรรมดูแลผู้บาดเจ็บ
- มหาดไทยสั่ง 7 จังหวัดชายแดน ชะลอให้ประชาชนกลับที่พัก หลังยังปะทะต่อเนื่อง
- ไทยควรเดินเกมอย่างไร? เมื่อกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง