ลงโทษซื้อน้ำมันรัสเซีย! อินเดียเจอขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ 50%
โดนัลด์ ทรัมป์สั่งการขึ้นภาษีสินค้าอินเดียอย่างหนักเนื่องจากรัฐบาลนิวเดลียังคงซื้อน้ำมันรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการค้าครั้งใหม่ขึ้นก่อนภาษีรอบใหม่จะมีผลบังคับใช้เพียงไม่กี่ชั่วโมง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย (Photo by Jim WATSON and Sajjad HUSSAIN / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม 2568 กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ลงโทษอินเดียด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าอัตราสูงที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากรัฐบาลนิวเดลียังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง
ภาษีนำเข้าสินค้าอินเดียเดิมอยู่ที่ 25% แต่ทรัมป์สั่งเพิ่มไปอีกจนกลายเป็นอัตรา 50% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีนี้
คำสั่งของทรัมป์ยังขู่ว่าจะลงโทษประเทศอื่นๆ ที่นำเข้าน้ำมันรัสเซียไม่ว่า "โดยตรงหรือโดยอ้อม" ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของรัฐบาลมอสโกในการทำสงครามกับยูเครน
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีข้อยกเว้นสำหรับสินค้าที่ถูกจัดเก็บภายใต้ภาษีเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เหล็กและอลูมิเนียม และสินค้าประเภทที่อาจได้รับผลกระทบในภายหลัง เช่น ยาและเซมิคอนดักเตอร์
ขณะนี้ สมาร์ทโฟนอยู่ในรายชื่อสินค้าที่ได้รับการยกเว้นเพื่อช่วยปกป้อง Apple จากผลกระทบร้ายแรง ขณะที่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ กำลังย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังอินเดีย
กระทรวงการต่างประเทศอินเดียประณามการประกาศของทรัมป์เมื่อวันพุธ โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าว "ไม่ยุติธรรม, ไม่เป็นธรรม และไม่มีเหตุผล"
ก่อนหน้านี้ กระทรวงฯ ระบุว่าอินเดียเริ่มนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย เนื่องจากอุปทานน้ำมันแบบดั้งเดิมถูกเบี่ยงเบนไปยังยุโรปในช่วงสงคราม โดยระบุว่ารัฐบาลวอชิงตันเป็นฝ่ายส่งเสริมอย่างแข็งขันให้มีการนำเข้าน้ำมันดังกล่าวเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพของตลาดพลังงานโลก
แต่เมื่อไม่นานมานี้ ทรัมป์ได้เพิ่มแรงกดดันต่ออินเดียเกี่ยวกับการซื้อน้ำมัน โดยขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญบีบให้รัสเซียยุติการรุกรานยูเครน
สื่อในนิวเดลีรายงานว่า ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของอินเดียอยู่ในมอสโกเมื่อวันพุธ ซึ่งตรงกับการเยือนของสตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ภาษีนำเข้าเพิ่มเติมอีก 25% ของอินเดียยังต่ำกว่าระดับ 100% ที่ทรัมป์เคยประกาศไว้เมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อเขาสั่งให้รัสเซียยุติสงครามในยูเครนภายใน 50 วัน มิฉะนั้นจะต้องเผชิญกับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจครั้งใหม่
สมาชิกพรรครีพับลิกันกล่าวในขณะนั้นว่า ภาษีเหล่านี้จะเป็น "ภาษีรอง" ที่มุ่งเป้าไปที่คู่ค้าที่เหลืออยู่ของรัสเซีย เพื่อขัดขวางความสามารถของรัฐบาลมอสโกในการอยู่รอดจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกที่แผ่ขยายออกไปแล้ว
"นี่เป็นจุดตกต่ำของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และอินเดีย" ฟาร์วา อาเมอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายริเริ่มเอเชียใต้ของสถาบันนโยบายสังคมเอเชียกล่าว
เธอคาดการณ์ว่าจะมีแรงกดดันภายในประเทศให้อินเดียยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ แต่เชื่อว่าจะเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้เล็งเป้าไปที่บราซิล โดยเฉพาะเกี่ยวกับการพิจารณาคดีอดีตประธานาธิบดีชาอีร์ โบลโซนาโร พันธมิตรฝ่ายขวาของเขา ซึ่งถูกกล่าวหาว่าวางแผนก่อรัฐประหาร
ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ สำหรับสินค้าต่างๆ ของบราซิลพุ่งสูงขึ้นจาก 10% เป็น 50% ในวันพุธ แต่การยกเว้นภาษีอย่างกว้างขวาง รวมถึงน้ำส้มและเครื่องบินพลเรือนคาดว่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบได้
แหล่งข่าวรัฐบาลกล่าวกับเอเอฟพีว่า บราซิลได้ดำเนินการอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่องค์การการค้าโลก เพื่อเริ่มกระบวนการโต้แย้งเกี่ยวกับภาษีศุลกากรดังกล่าว
และในวันพฤหัสบดีนี้นี่เอง มาตรการภาษีศุลกากรระลอกใหม่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอื่นๆ อีกหลายสิบประเทศ ตั้งแต่สหภาพยุโรปไปจนถึงไต้หวัน
คู่ค้าของสหรัฐฯ เผชิญกับการขึ้นภาษีศุลกากรที่แตกต่างกันไปจากระดับ 10% ในปัจจุบัน โดยเริ่มต้นที่ 15% สำหรับเศรษฐกิจอย่างสหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ประเทศที่ไม่ตกเป็นเป้าหมายของการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ เหล่านี้ยังคงเผชิญกับการขึ้นภาษีศุลกากร 10% ที่ทรัมป์กำหนดขึ้นในเดือนเมษายน
แผนการของทรัมป์ได้จุดประกายให้เกิดความเร่งรีบเพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีที่สูงขึ้น โดยประธานาธิบดีคาริน เคลเลอร์-ซัตเตอร์แห่งสวิตเซอร์แลนด์รีบเดินทางถึงวอชิงตันก่อนกำหนดเส้นตายในวันพฤหัสบดีนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเธอจะพบกับทรัมป์หรือเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจระดับสูงคนใดหรือไม่
แม้ว่าภาคส่วนยาหลักของสวิตเซอร์แลนด์จะยังไม่ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า 39% ในขณะนี้ แต่ทรัมป์ได้เตือนว่าภาษีนำเข้ายาในอนาคตอาจเพิ่มขึ้นเป็น 250% ในที่สุด
ขณะที่ประธานาธิบดีเม็กซิโกกล่าวเมื่อวันพุธว่าประเทศของเธอจะพยายามขยายการค้ากับแคนาดา เนื่องจากเศรษฐกิจอเมริกาเหนือกำลังเผชิญกับมาตรการภาษีนำเข้าที่แยกสหรัฐฯ จากประเทศอื่นๆ
ภาษีนำเข้าจำนวนมากของทรัมป์ยังเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมายเกี่ยวกับการใช้อำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินของเขา โดยคดีเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะไปถึงศาลสูงในท้ายที่สุด.