ย้อนไทม์ไลน์ คลิปเสียงเขย่าบัลลังก์ “แพทองธาร”
วันที่ 29 ส.ค. 68 เวลา 15.00 น.ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ ระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ว่าเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง จนทำให้ น.ส.แพทองธาร ต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่?
แต่ก่อนหน้านั้น ข่าวเวิร์คพอยท์23 ชวนผู้อ่าน ย้อนดูไทม์ไลน์สำคัญของคดีในครั้งนี้ก่อน โดยย้อนไปช่วงกลางเดือน มิ.ย. 2568 สถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มยกระดับขึ้นเรื่อยๆ มีการประกาศขยับเวลาปิดด่านชายแดน จำกัดประเภทของรถหรือสินค้าที่จะผ่านเข้าออก จนเป็นผลให้ฝั่งกัมพูชาไม่พอใจ
จนกระทั่งวันที่ 18 มิถุนายน 2568 คลิปเสียงบทสนทนาระหว่างแพทองธารกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ถูกเผยแพร่โดยสมเด็จฯ ฮุน เซนต่อสาธารณะ ในวันเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ น.ส.แพทองธารแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าว และประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล
วันถัดมา 19 มิถุนายน 2568 พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. พร้อมคณะ แถลงเรียกร้องให้ น.ส.แพทองธาร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี และวันรุ่งขึ้น 20 มิถุนายน 2568 สว. จำนวน 36 คน ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ น.ส.แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่และถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 และมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) ซึ่งเป็นเรื่องของความซื่อสัตย์และเรื่องมาตรฐานจริยธรรม
ในวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์รับตรวจสอบปมคลิปเสียง โดยเป็นการตรวจสอบด้วยการถอดเทปและแปลภาษาต่างประเทศ
และ วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9:0 รับคำร้องของ 36 สว. ให้ น.ส.แพทองธารชี้แจงภายใน 15 วัน และมีมติเสียงข้างมาก 7:2 สั่งให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย โดยในวันเดียวกันมีการโปรดเกล้าแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดย น.ส.แพทองธารขยับไปนั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมเพิ่มอีกตำแหน่ง และ น.ส.แพทองธาร ได้ออกมาแถลงถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าการพูดคุยไม่ได้คิดร้ายต่อประเทศ
จากนั้น 15 กรกฎาคม 2568 น.ส.แพทองธารยื่นขอขยายเวลาส่งคำชี้แจงออกไป 15 วัน ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมากในวันที่ 30 กรกฎาคม อนุญาตให้นายกรัฐมนตรีขยายกรอบเวลาชี้แจงได้ถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2568
ในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ศาลนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ น.ส.แพทองธารและเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มีการถ่ายทอดสดเฉพาะช่วงที่นายกรัฐมนตรีปฏิญาณตนก่อนให้การเท่านั้น และวันที่ 25 สิงหาคม 2568 น.ส.แพทองธาร ยื่นคำแถลงปิดคดีแบบลายลักษณ์อักษรต่อศาล
ซึ่งมีรายงานในสื่อถึงข้อต่อสู้ของ น.ส.แพทองธาร ในคดีนี้โดยจนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไม่มีข้อความใดในบทสนทนาที่แสดงให้เห็นว่าจะนำผลประโยชน์ของประเทศไทยไปแลกเปลี่ยนกับต่างชาติ เรื่องที่พูดคุยเป็นการพยายามเจรจาต่อรองเงื่อนไขเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยใช้คำพูดเชิงจิตวิทยาเพื่อโน้มน้าวให้สมเด็จฮุน เซน ช่วยแนะนำหรือเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์และลดความขัดแย้งผ่านผู้นำรัฐบาลกัมพูชา
พร้อมทั้งระบุว่าการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นำ 2 ประเทศ เป็นวิธีการที่ไม่เป็นทางการที่มีประสิทธิภาพและใช้แพร่หลายทั่วโลก มักใช้หารือเรื่องเร่งด่วนหรือประเด็นอ่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดหรือสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และปกติจะไม่เผยแพร่ต่อสาธารณะหรือบันทึกเป็นทางการ
และการที่ สมเด็จฮุน เซน แอบอัดเสียง-ปล่อยคลิปเสียง ผิดมารยาททางการเมืองระหว่างประเทศ โดยการแอบบันทึกเสียงการสนทนาแล้วนํามาเผยแพร่ต่อสาธารณชนเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนแต่ฝ่ายเดียว และเป็นที่คาดการณ์ว่าการกระทําดังกล่าวเป็นการเล็งผลที่จะก่อให้เกิดความเสียหายทางการเมืองในประเทศไทย ทําให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพหรือก่อให้เกิดความวุ่นวายในประเทศไทยได้ แล้วฉวยโอกาสดังกล่าวใช้กําลังทหารเข้าปะทะดังที่เคยทํามาโดยตลอดตามประวัติศาสตร์ในอดีตที่ผ่านมา
ส่วนคำพูดที่ใช้ในการพูดคุย ทั้งการเรียกสมเด็จฮุน เซนว่า Uncle(อา) การถามว่าต้องการอะไรจะจัดการให้ หรือการพูดถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม เป็นเทคนิคในการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้ทำไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ยังคงต้องตามลุ้นต่อไปว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะรับฟังข้อต่อสู้นี้หรือไม่