โอนย้ายความรุนแรง
จากเหตุการณ์สะเทือนใจเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งตกเป็นเหยื่อของการข่มขืน กลับไปทำร้ายเจ้าของร้านอาหารแทนที่จะเป็นผู้กระทำความผิด อาจทำให้หลายคนเกิดคำถามว่า "ทำไม?" และความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ที่มองว่า ไม่เป็นธรรมกับผู้เสียชีวิต เพราะในแง่ของกฎหมายและศีลธรรม เจ้าของร้านอาหารเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ต้องมาเสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ไม่ได้ก่อขึ้น
แต่ในขณะเดียวกัน ความเจ็บปวดทางจิตใจ ที่หญิงสาวได้รับจากการถูกข่มขืนก็เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า บาดแผลทางใจนี้เองที่ผลักดันให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่คาดคิดขึ้น
หนึ่งในคำอธิบายเรื่องนี้ในทางจิตวิทยา ถึงการกระทำที่รุนแรงของหญิงสาวผู้ก่อเหตุ ว่าไม่ใช่การกระทำที่เกิดจากเจตนาปกติ แต่เป็นผลมาจาก กลไกการป้องกันตัวเองทางจิตใจ (Psychological Defense Mechanism) ที่ทำงานผิดพลาดภายใต้ความกดดันและบาดแผลที่รุนแรงที่สุด
เหยื่อรู้สึกสิ้นหวังและไร้อำนาจ เมื่อเผชิญหน้ากับความรุนแรงและไม่มีใครช่วยเหลือ ก็รู้สึกว่าสูญเสียการควบคุมชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง ความโกรธที่เกิดขึ้นจึงไม่สามารถระบายออกไปยังผู้กระทำผิดได้
การโอนย้ายความก้าวร้าว (Displacement): เมื่อไม่สามารถระบายความโกรธใส่ผู้ข่มขืนได้ สมองของเธอจึงหาเป้าหมายอื่นที่รู้สึกว่า "มีส่วนรับผิดชอบ" และสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า ซึ่งในกรณีนี้คือเจ้าของร้านอาหาร
ดังนั้น การกระทำของเหยื่อจึงไม่ใช่การเลือกที่จะทำร้ายผู้บริสุทธิ์อย่างมีสติ แต่เป็นการกระทำที่ขับเคลื่อนด้วยความเจ็บปวดและบาดแผลทางใจที่เกินจะรับไหว ซึ่งนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ในทางปฏิบัติ การทำความเข้าใจพฤติกรรมนี้ไม่ได้หมายความว่าเรายอมรับการกระทำรุนแรงหรือละเลยความสูญเสียของเจ้าของร้านอาหาร แต่หมายถึงการที่สังคมต้องหันมาให้ความสำคัญกับการ เยียวยาจิตใจ ของผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้บาดแผลที่มองไม่เห็นเหล่านี้กลายเป็นการกระทำที่ทำร้ายคนอื่นต่อไปในอนาคต
พฤติกรรมนี้ดูเหมือนจะผิดปกติ แต่หากมองลึกลงไปในจิตใจของมนุษย์ที่บอบช้ำ จะพบว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลย หากแต่เป็นกลไกการรับมือกับความเจ็บปวดที่รุนแรงและซับซ้อน
แต่ที่สำคัญคือการ สังคมไทยต้องไม่ละเลยในการแก้ไขต้นตอของปัญหานี้ ก็คือ การข่มขืน ที่จะค้องทำแบบบูรณาการ ทั้งด้านกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย ด้านสังคม วัฒนธรรม การศึกษา และด้านจิตวิทยา เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเคารพสิทธิของกันและกัน