อย่ารอให้สายเกินไป
การนำมาตรการห้ามใช้สมาร์ทโฟนในสถานศึกษาได้กลายเป็นประเด็นที่หลายประเทศทั่วโลกให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง ล่าสุดเกาหลีใต้มีมติผ่านร่างกฎหมายฉบับแก้ไข ห้ามการใช้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ดิจิทัลอื่นๆ ในห้องเรียนของนักเรียนทุกระดับ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมปี 2569 เป็นต้นไป
มาตรการดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงการควบคุมพฤติกรรม แต่ยังสะท้อนถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงผลกระทบทางจิตวิทยาและพัฒนาการของเด็กและเยาวชน เนื่องจากการใช้สมาร์ทโฟนที่มากเกินไปในห้องเรียนส่งผลกระทบโดยตรงต่อหลายด้านของพัฒนาการ
สมองของเด็กและวัยรุ่นกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาความสามารถในการควบคุมตนเองและการจดจ่อ การแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟนเปรียบเสมือนสิ่งเร้าที่รบกวนสมาธิอย่างต่อเนื่อง ทำให้สมองไม่สามารถสร้างการเชื่อมโยงเพื่อจดจำข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ การขาดสมาธินี้ไม่เพียงส่งผลต่อผลการเรียน แต่ยังทำให้ความสามารถในการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาลดลงในระยะยาว
ห้องเรียนเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการพัฒนาทักษะทางสังคม การใช้สมาร์ทโฟนทำให้เด็ก ๆ หันเหความสนใจจากการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้นและครู ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ที่จะเข้าใจอารมณ์ การสื่อสารแบบเห็นหน้า และการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น การพึ่งพาการสื่อสารผ่านหน้าจอมากเกินไปอาจนำไปสู่ภาวะวิตกกังวลทางสังคม และความรู้สึกโดดเดี่ยว
ที่สำคัญคือ สุขภาพจิตการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นบนโซเชียลมีเดียอาจนำไปสู่ความรู้สึกไม่มั่นคงในตนเอง ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า การจำกัดการเข้าถึงอุปกรณ์ดิจิทัลในช่วงเวลาเรียนจึงเป็นการลดโอกาสที่เด็กจะเผชิญกับแรงกดดันทางสังคมออนไลน์ และเปิดโอกาสให้พวกเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีขึ้น เช่น การเล่น การพูดคุย และการทำกิจกรรมร่วมกัน
ในประเทศไทยผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและนักวิชาการต่างตระหนักถึงผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนในห้องเรียนอย่างมาก มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างการใช้สมาร์ทโฟนกับ สมาธิในการเรียน และ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพจิต เช่น การเสพติดสมาร์ทโฟน ภาวะซึมเศร้า และความวิตกกังวลจากการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นบนโซเชียลมีเดีย
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนก็มองว่าการห้ามใช้สมาร์ทโฟนแบบเด็ดขาดอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด เพราะเทคโนโลยีก็เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมหาศาลหากใช้ให้ถูกทาง ปัญหาที่แท้จริงอาจไม่ใช่ตัวอุปกรณ์ แต่เป็น การขาดทักษะในการควบคุมตนเอง และ การนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม มากกว่า
กระนั้นอาจเป็นแนวคิดที่สวยหรูหรือโลกสวยเกินไป ฉะนั้นในระดับนโยบายและผู้เกี่ยวข้องจักต้องพิจารณามาตรการอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะมีประสิทธิภาพ อย่ารอให้สายเกินไป