เมื่อ ‘ยุโรป’ ถกเถียงตลาดซื้อขายคาร์บอนถึงเวลาเกษตรไทยต้องเร่งปรับตัว!!
CBAM มีจุดประสงค์เพื่อ ปองกัน Carbon Leakage หรือการย้ายฐานการผลิตจากยุโรปไปยังประเทศที่มีมาตรการสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดน้อยกว่า และยังเป็นเครื่องมือปกป้องผู้ผลิตในยุโรปไม่ให้เสียเปรียบด้านการแข่งขัน ตลอดจนส่งสัญญาณกดดันให้ประเทศคู่ค้ายกระดับนโยบายสิ่งแวดล้อมของตัวเอง กลายเป็นสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า “Brussels Effect”
ในระยะแรก CBAM ครอบคลุมสินค้านำเข้าเพียง 6 กลุ่ม ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม ซีเมนต์, ปุ๋ยไนโตรเจน ไฟฟ้า และไฮโดรเจน ผู้นำเข้าต้องซื้อ ใบรับรองคาร์บอน (CBAM Certificates) ตามปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ฝังอยู่ในสินค้านำเข้า โดยมีราคาผูกกับตลาดคาร์บอนของสหภาพยุโรป (EU ETS) ซึ่งหมายความว่ายิ่งประเทศผู้ส่งออกปล่อยคาร์บอนสูงเท่าไร ต้นทุนการส่งออกเข้าสู่ยุโรปก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
แม้ในปัจจุบัน CBAM จะเน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรมหนักเป็นหลัก แต่สัญญาณใหม่กำลังเกิดขึ้นในยุโรปเมื่อสภายุโรปมีการพูดคุยเกี่ยวกับตลาดซื้อขายคาร์บอนในภาคเกษตร (Agricultural Emissions Trading System: AgETS)
ยุโรปเริ่มถกเรื่องตลาดคาร์บอนภาคเกษตร: สัญญาณเตือนล่วงหน้า
ภาคเกษตรเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะมีเทน (CH4) จากปศุสัตว์ และ ไนตรัสออกไซด์ (N2O) จากปุ๋ยเคมี แต่ที่ผ่านมาภาคเกษตรยุโรปยังไม่ถูกเก็บคาร์บอนราคาเต็มเหมือนภาคอุตสาหกรรม ในปี 2023 รัฐสภายุโรปและคณะกรรมาธิการยุโรปเริ่มหารืออย่างจริงจังเกี่ยวกับการออกแบบ ตลาดซื้อขายคาร์บอนในภาคเกษตร (AgETS) ซึ่งจะเริ่มการสร้างระบบเพื่อวัดการปล่อยคาร์บอนจากฟาร์มทั้งขนาดเล็กและใหญ่
โดยรายงานของรัฐสภายุโรปในเรื่องนี้มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับตลาดซื้อขายคาร์บอนในภาคเกษตรที่น่าสนใจ 3 เรื่องคือ
1. จะกำหนดให้เกษตรกรจ่ายคาร์บอนโดยตรง (On-farm ETS) หรือจะเก็บจากโรงงานปุ๋ยและอาหารสัตว์ (Upstream ETS) และโรงงานแปรรูปเนื้อและนม (Downstream ETS)
2. จะทำอย่างไรให้เกษตรกรขนาดเล็กไม่เสียเปรียบ และสามารถเข้าถึงประโยชน์จากการขายเครดิตคาร์บอน
3. จะลดความเสี่ยง Carbon Leakage เชิงสินค้าเกษตรได้อย่างไร หากยุโรปผลิตน้อยลงแต่โลกยังบริโภคเท่าเดิม
เหตุที่เรื่องนี้น่าสนใจเพราะการผลักดัน AgETS คือ จุดเริ่มต้นสำคัญก่อนขยาย CBAM สู่ภาคเกษตร เพราะเมื่อยุโรปตั้งราคาคาร์บอนในประเทศได้อย่างเป็นระบบ ก็มีแนวโน้มสูงที่จะใช้ CBAM ครอบคลุมสินค้าจากต่างประเทศ เพื่อให้เกิดสนามแข่งขันที่เท่าเทียมเพื่อปกป้องเกษตรก่อนในกลุ่มของตัวเอง
หาก CBAM ขยายสู่ภาคเกษตร ไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร
แน่นอนว่าหากสหภาพยุโรปขยาย CBAM มาสู่สินค้าเกษตรจริงในอนาคต ผลกระทบต่อไทยจะเกิดขึ้นทันที เพราะไทยคือผู้ส่งออกอาหารรายสำคัญไปยังยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไก่แปรรูป ข้าว กุ้งแช่แข็ง ผลไม้ และน้ำมันปาล์ม สินค้าเหล่านี้มีห่วงโซ่การผลิตที่ยังปล่อยคาร์บอนสูง โดยเฉพาะจากการใช้ปุ๋ยเคมีและการเลี้ยงปศุสัตว์ ฉะนั้นหาก CBAM ขยายมาครอบคลุมสินค้ากลุ่มนี้ ผลกระทบจะเกิดขึ้นในหลายระดับพร้อมกัน
ผลกระทบแรกคือต้นทุนการส่งออกสูงขึ้น เพราะผู้นำเข้าต้องซื้อใบรับรองคาร์บอนตามรอยเท้าคาร์บอนของสินค้า หากสินค้าไทยปล่อยคาร์บอนสูงกว่าคู่แข่ง ราคาขายจะเสียเปรียบทันที ผลกระทบต่อมาคือ ความเสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาดยุโรป หากประเทศคู่แข่งลดคาร์บอนได้ก่อน สินค้าของประเทศเหล่านั้นจะได้เปรียบด้านราคาและภาพลักษณ์ในทันที ขณะที่ผู้ส่งออกไทยอาจถูกแทนที่อย่างช้าๆ และที่สำคัญกว่านั้นคือ โอกาสเกิดแรงกดดันต่อทั้งห่วงโซ่เกษตรของไทย ตั้งแต่เกษตรกรรายย่อย โรงงานแปรรูป จนถึงผู้ส่งออก ทุกฝ่ายต้องเริ่มเก็บข้อมูลรอยเท้าคาร์บอนและปรับกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หากปรับตัวไม่ทัน ไทยอาจสูญเสียความสามารถแข่งขันในตลาดที่มีมูลค่าสูงอย่างยุโรปได้
ในภาพรวม หาก CBAM ขยายสู่ภาคเกษตร ผลกระทบต่อประเทศไทยจะไม่ใช่เพียงเรื่องของต้นทุนส่งออกที่เพิ่มขึ้น แต่ยังหมายถึงแรงกดดันให้ทั้งระบบการผลิตอาหารต้องเปลี่ยนแปลง ไทยจะต้องก้าวเข้าสู่ยุคที่ “คาร์บอนคือค่าใช้จ่าย” อย่างเต็มตัว การชะลอการปรับตัวอาจทำให้ไทยสูญเสียความได้เปรียบทางการค้า และเปิดโอกาสให้ประเทศคู่แข่งที่พร้อมกว่าแย่งชิงตลาดสำคัญไป
ถึงเวลาภาคเกษตรไทยต้องเร่งปรับตัว
สัญญาณจากสหภาพยุโรปชัดเจนว่า โลกการค้ากำลังเดินเข้าสู่ยุคที่คาร์บอนกลายเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจสำคัญ และไม่ใช่เพียงอุตสาหกรรมหนักเท่านั้นที่ต้องเผชิญแรงกดดัน หากมาตรการ CBAM ขยายสู่ภาคเกษตร ภาคเกษตรไทยซึ่งพึ่งพาตลาดส่งออกและห่วงโซ่การผลิตแบบดั้งเดิมจะเผชิญความท้าทายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การปรับตัวจึงต้องเริ่มทันทีและต้องทำทั้งระบบ โดยอาจมีประเด็นพิจารณาดังนี้
1.สร้างตลาดคาร์บอนในประเทศให้เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะการพัฒนา Emissions Trading System (ETS) ภายในประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีเวทีซื้อขายและปรับตัวก่อนเผชิญ CBAM และสนับสนุนให้เกษตรกรและโรงงานสามารถขายคาร์บอนเครดิตจากการลดการปล่อย เป็นรายได้เสริมได้
2.ผลักดันกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศให้มีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … ภายใต้มาตรา 9 ที่เปิดทางสู่การใช้ ETS และมาตรการกำหนดราคาคาร์บอน หากกฎหมายนี้เกิดขึ้นจริง จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง ความโปร่งใสด้านคาร์บอนฟุตพรินต์ และลดความเสี่ยงทางการค้า
3.ลงทุนในเทคโนโลยีและระบบตรวจสอบคาร์บอน(MRV) โดยมีการเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ฟาร์มถึงโรงงาน เพื่อเตรียมพร้อมต่อการตรวจสอบจากต่างประเทศ และสนับสนุนเทคโนโลยี การผลิตคาร์บอนต่ำ เช่น ปุ๋ยชีวภาพ ระบบจัดการมูลสัตว์ และพลังงานหมุนเวียนในโรงงาน
บทสรุป : การแข่งขันยุคใหม่คือการแข่งขันด้านคาร์บอน
CBAM ของยุโรปไม่ใช่เพียงมาตรการภาษีการค้า แต่คือ สัญญาณเตือนว่าคาร์บอนกำลังกลายเป็นตัวชี้ขาดทางเศรษฐกิจ หากไทยปรับตัวช้า สินค้าเกษตรและอาหารอาจสูญเสียความสามารถแข่งขัน และถูกกีดกันทางการค้าด้วยต้นทุนคาร์บอนที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน หากประเทศไทยสามารถสร้างตลาดคาร์บอนและระบบ ETS ที่เข้มแข็ง และผลักดันกฎหมายสภาพภูมิอากาศให้บังคับใช้ได้จริง เราจะไม่เพียงลดความเสี่ยง แต่ยังสามารถแปลงคาร์บอนต่ำเป็นจุดขายในตลาดโลก เพราะในยุคที่สังคมโลกกำลังจับตาเรื่องสภาพภูมิอากาศ ผู้ที่ลดคาร์บอนได้ก่อนคือผู้ชนะในสนามการค้าใหม่.