โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

เมื่อ ‘ยุโรป’ ถกเถียงตลาดซื้อขายคาร์บอนถึงเวลาเกษตรไทยต้องเร่งปรับตัว!!

เดลินิวส์

อัพเดต 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เดลินิวส์
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกได้ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อรับมือกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หนึ่งในมาตรการที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อการค้าระหว่างประเทศ คือ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ของสหภาพยุโรป (EU) จะเริ่มมีผลเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2026

CBAM มีจุดประสงค์เพื่อ ปองกัน Carbon Leakage หรือการย้ายฐานการผลิตจากยุโรปไปยังประเทศที่มีมาตรการสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดน้อยกว่า และยังเป็นเครื่องมือปกป้องผู้ผลิตในยุโรปไม่ให้เสียเปรียบด้านการแข่งขัน ตลอดจนส่งสัญญาณกดดันให้ประเทศคู่ค้ายกระดับนโยบายสิ่งแวดล้อมของตัวเอง กลายเป็นสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า “Brussels Effect”

ในระยะแรก CBAM ครอบคลุมสินค้านำเข้าเพียง 6 กลุ่ม ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม ซีเมนต์, ปุ๋ยไนโตรเจน ไฟฟ้า และไฮโดรเจน ผู้นำเข้าต้องซื้อ ใบรับรองคาร์บอน (CBAM Certificates) ตามปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ฝังอยู่ในสินค้านำเข้า โดยมีราคาผูกกับตลาดคาร์บอนของสหภาพยุโรป (EU ETS) ซึ่งหมายความว่ายิ่งประเทศผู้ส่งออกปล่อยคาร์บอนสูงเท่าไร ต้นทุนการส่งออกเข้าสู่ยุโรปก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

แม้ในปัจจุบัน CBAM จะเน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรมหนักเป็นหลัก แต่สัญญาณใหม่กำลังเกิดขึ้นในยุโรปเมื่อสภายุโรปมีการพูดคุยเกี่ยวกับตลาดซื้อขายคาร์บอนในภาคเกษตร (Agricultural Emissions Trading System: AgETS)

ยุโรปเริ่มถกเรื่องตลาดคาร์บอนภาคเกษตร: สัญญาณเตือนล่วงหน้า

ภาคเกษตรเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะมีเทน (CH4) จากปศุสัตว์ และ ไนตรัสออกไซด์ (N2O) จากปุ๋ยเคมี แต่ที่ผ่านมาภาคเกษตรยุโรปยังไม่ถูกเก็บคาร์บอนราคาเต็มเหมือนภาคอุตสาหกรรม ในปี 2023 รัฐสภายุโรปและคณะกรรมาธิการยุโรปเริ่มหารืออย่างจริงจังเกี่ยวกับการออกแบบ ตลาดซื้อขายคาร์บอนในภาคเกษตร (AgETS) ซึ่งจะเริ่มการสร้างระบบเพื่อวัดการปล่อยคาร์บอนจากฟาร์มทั้งขนาดเล็กและใหญ่

โดยรายงานของรัฐสภายุโรปในเรื่องนี้มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับตลาดซื้อขายคาร์บอนในภาคเกษตรที่น่าสนใจ 3 เรื่องคือ

1. จะกำหนดให้เกษตรกรจ่ายคาร์บอนโดยตรง (On-farm ETS) หรือจะเก็บจากโรงงานปุ๋ยและอาหารสัตว์ (Upstream ETS) และโรงงานแปรรูปเนื้อและนม (Downstream ETS)

2. จะทำอย่างไรให้เกษตรกรขนาดเล็กไม่เสียเปรียบ และสามารถเข้าถึงประโยชน์จากการขายเครดิตคาร์บอน

3. จะลดความเสี่ยง Carbon Leakage เชิงสินค้าเกษตรได้อย่างไร หากยุโรปผลิตน้อยลงแต่โลกยังบริโภคเท่าเดิม

เหตุที่เรื่องนี้น่าสนใจเพราะการผลักดัน AgETS คือ จุดเริ่มต้นสำคัญก่อนขยาย CBAM สู่ภาคเกษตร เพราะเมื่อยุโรปตั้งราคาคาร์บอนในประเทศได้อย่างเป็นระบบ ก็มีแนวโน้มสูงที่จะใช้ CBAM ครอบคลุมสินค้าจากต่างประเทศ เพื่อให้เกิดสนามแข่งขันที่เท่าเทียมเพื่อปกป้องเกษตรก่อนในกลุ่มของตัวเอง

หาก CBAM ขยายสู่ภาคเกษตร ไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร

แน่นอนว่าหากสหภาพยุโรปขยาย CBAM มาสู่สินค้าเกษตรจริงในอนาคต ผลกระทบต่อไทยจะเกิดขึ้นทันที เพราะไทยคือผู้ส่งออกอาหารรายสำคัญไปยังยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไก่แปรรูป ข้าว กุ้งแช่แข็ง ผลไม้ และน้ำมันปาล์ม สินค้าเหล่านี้มีห่วงโซ่การผลิตที่ยังปล่อยคาร์บอนสูง โดยเฉพาะจากการใช้ปุ๋ยเคมีและการเลี้ยงปศุสัตว์ ฉะนั้นหาก CBAM ขยายมาครอบคลุมสินค้ากลุ่มนี้ ผลกระทบจะเกิดขึ้นในหลายระดับพร้อมกัน

ผลกระทบแรกคือต้นทุนการส่งออกสูงขึ้น เพราะผู้นำเข้าต้องซื้อใบรับรองคาร์บอนตามรอยเท้าคาร์บอนของสินค้า หากสินค้าไทยปล่อยคาร์บอนสูงกว่าคู่แข่ง ราคาขายจะเสียเปรียบทันที ผลกระทบต่อมาคือ ความเสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาดยุโรป หากประเทศคู่แข่งลดคาร์บอนได้ก่อน สินค้าของประเทศเหล่านั้นจะได้เปรียบด้านราคาและภาพลักษณ์ในทันที ขณะที่ผู้ส่งออกไทยอาจถูกแทนที่อย่างช้าๆ และที่สำคัญกว่านั้นคือ โอกาสเกิดแรงกดดันต่อทั้งห่วงโซ่เกษตรของไทย ตั้งแต่เกษตรกรรายย่อย โรงงานแปรรูป จนถึงผู้ส่งออก ทุกฝ่ายต้องเริ่มเก็บข้อมูลรอยเท้าคาร์บอนและปรับกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หากปรับตัวไม่ทัน ไทยอาจสูญเสียความสามารถแข่งขันในตลาดที่มีมูลค่าสูงอย่างยุโรปได้

ในภาพรวม หาก CBAM ขยายสู่ภาคเกษตร ผลกระทบต่อประเทศไทยจะไม่ใช่เพียงเรื่องของต้นทุนส่งออกที่เพิ่มขึ้น แต่ยังหมายถึงแรงกดดันให้ทั้งระบบการผลิตอาหารต้องเปลี่ยนแปลง ไทยจะต้องก้าวเข้าสู่ยุคที่ “คาร์บอนคือค่าใช้จ่าย” อย่างเต็มตัว การชะลอการปรับตัวอาจทำให้ไทยสูญเสียความได้เปรียบทางการค้า และเปิดโอกาสให้ประเทศคู่แข่งที่พร้อมกว่าแย่งชิงตลาดสำคัญไป

ถึงเวลาภาคเกษตรไทยต้องเร่งปรับตัว

สัญญาณจากสหภาพยุโรปชัดเจนว่า โลกการค้ากำลังเดินเข้าสู่ยุคที่คาร์บอนกลายเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจสำคัญ และไม่ใช่เพียงอุตสาหกรรมหนักเท่านั้นที่ต้องเผชิญแรงกดดัน หากมาตรการ CBAM ขยายสู่ภาคเกษตร ภาคเกษตรไทยซึ่งพึ่งพาตลาดส่งออกและห่วงโซ่การผลิตแบบดั้งเดิมจะเผชิญความท้าทายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การปรับตัวจึงต้องเริ่มทันทีและต้องทำทั้งระบบ โดยอาจมีประเด็นพิจารณาดังนี้

1.สร้างตลาดคาร์บอนในประเทศให้เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะการพัฒนา Emissions Trading System (ETS) ภายในประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีเวทีซื้อขายและปรับตัวก่อนเผชิญ CBAM และสนับสนุนให้เกษตรกรและโรงงานสามารถขายคาร์บอนเครดิตจากการลดการปล่อย เป็นรายได้เสริมได้

2.ผลักดันกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศให้มีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … ภายใต้มาตรา 9 ที่เปิดทางสู่การใช้ ETS และมาตรการกำหนดราคาคาร์บอน หากกฎหมายนี้เกิดขึ้นจริง จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง ความโปร่งใสด้านคาร์บอนฟุตพรินต์ และลดความเสี่ยงทางการค้า

3.ลงทุนในเทคโนโลยีและระบบตรวจสอบคาร์บอน(MRV) โดยมีการเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ฟาร์มถึงโรงงาน เพื่อเตรียมพร้อมต่อการตรวจสอบจากต่างประเทศ และสนับสนุนเทคโนโลยี การผลิตคาร์บอนต่ำ เช่น ปุ๋ยชีวภาพ ระบบจัดการมูลสัตว์ และพลังงานหมุนเวียนในโรงงาน

บทสรุป : การแข่งขันยุคใหม่คือการแข่งขันด้านคาร์บอน

CBAM ของยุโรปไม่ใช่เพียงมาตรการภาษีการค้า แต่คือ สัญญาณเตือนว่าคาร์บอนกำลังกลายเป็นตัวชี้ขาดทางเศรษฐกิจ หากไทยปรับตัวช้า สินค้าเกษตรและอาหารอาจสูญเสียความสามารถแข่งขัน และถูกกีดกันทางการค้าด้วยต้นทุนคาร์บอนที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน หากประเทศไทยสามารถสร้างตลาดคาร์บอนและระบบ ETS ที่เข้มแข็ง และผลักดันกฎหมายสภาพภูมิอากาศให้บังคับใช้ได้จริง เราจะไม่เพียงลดความเสี่ยง แต่ยังสามารถแปลงคาร์บอนต่ำเป็นจุดขายในตลาดโลก เพราะในยุคที่สังคมโลกกำลังจับตาเรื่องสภาพภูมิอากาศ ผู้ที่ลดคาร์บอนได้ก่อนคือผู้ชนะในสนามการค้าใหม่.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก เดลินิวส์

โปรเด็ดต้องลอง!!!

35 นาทีที่แล้ว

สหรัฐยินดีผลประชุมจีบีซี “ไทย-กัมพูชา” ชี้เป็นก้าวสำคัญสู่สันติภาพที่ยั่งยืน

41 นาทีที่แล้ว

“Instagram” ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ เพิ่มลูกเล่น “แชร์ชีวิตประจำวัน-สถานที่ที่ไปได้” เชื่อมต่อกับเพื่อนง่ายขึ้น

42 นาทีที่แล้ว

ผู้นำอิสราเอลลั่นต้องการ “ยึดครอง” ไม่ใช่ “ปกครอง” ฉนวนกาซา

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

‘บัตรเครดิตโลตัส’ อัดสิทธิประโยชน์ใหม่ ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรโต 5% ในปี 2568

TODAY

ดอกเบี้ยทั่วโลกส่อวูบ! หุ้นไทยไซด์เวย์ 1,250 - 1,280 จุดเน้นย่อสะสม

PostToday

อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศวันนี้ (8 ส.ค.68)

สยามรัฐ

มัดรวมไว้แล้ว มาตรการช่วยเหลือชายแดน แบงก์-ประกัน-ภาษี มีอะไรบ้าง

เดลินิวส์

ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ 32.28 บาท/ดอลลาร์

การเงินธนาคาร

ผันผวนก่อนหยุดยาว น่าสนใจ! 5 หุ้นใหญ่

หุ้นวิชั่น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้8ส.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”ที่ระดับ 32.28 บาทต่อดอลลาร์

ฐานเศรษฐกิจ

ดีน เคน อดีตนักแสดงผู้รับบทซูเปอร์แมน เข้าร่วมเป็นเจ้าหน้าที่ ICE หนุนภารกิจเนรเทศผู้อพยพของทรัมป์

การเงินธนาคาร

ข่าวและบทความยอดนิยม

อุตุเตือน 3 จังหวัด “ภาคเหนือ” ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก

เดลินิวส์

“เดลินิวส์” วันที่ 8 ส.ค.กลาโหมไทย-เขมร ถกจีบีซีเห็นพ้อง-ลงนามหยุดยิง

เดลินิวส์

รู้จัก”โปน่า” พลทหาร LGBTQ+ คนเดียวในแนวหน้ากัมพูชา เจ็บจากสมรภูมิ รับเงินเยียวยาแค่ 60 บาท

เดลินิวส์
ดูเพิ่ม
Loading...