ส่องบทเรียนจากอดีต : ผลกระทบสงครามอิสราเอล-อิหร่าน เมื่อราคาน้ำมันสั่นสะเทือนเศรษฐกิจโลก
คอลัมน์ : สถานีลงทุน ผู้เขียน : สวภพ ยนต์ศรี บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด
ตลอดปี 2025 ที่ผ่านมา ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นความเสี่ยงที่ติดอันดับต้น ๆ ของแบบสำรวจความกังวลของนักลงทุน รวมถึงเป็นความเสี่ยงที่บทวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำของโลกหลายแห่งมองว่า เป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในปีนี้
โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่เดือนหลังที่คำนี้มักถูกใช้กับความเสี่ยงที่ตามมาจาก “นโยบายภาษีที่คาดเดาไม่ได้ของสหรัฐ” และในตอนนี้ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็กลายมาเป็นปัญหาที่ปรากฏให้เห็นจริง ๆ แต่ไม่เพียงมาจากผลกระทบจากการดำเนินนโยบายด้านภาษีจากสหรัฐเท่านั้น แต่ยังมาจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในรูปแบบดั้งเดิม นั่นก็คือความขัดแย้งจากสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ซึ่งกำลังคุกคามเสถียรภาพของอุปทานน้ำมันโลก
โดยราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นทันที 12% หลังอิสราเอลเปิดฉากโจมตีเป้าหมายนิวเคลียร์ในอิหร่าน และความตึงเครียดยิ่งปะทุขึ้นเมื่ออิสราเอลโจมตีจุดยุทธศาสตร์อื่นเพิ่มเติม รวมถึงท่าเรือน้ำมันหลักในกรุงเตหะราน และอิหร่านตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธโจมตีอิหร่านด้วยเช่นเดียวกัน ถึงแม้การเจรจาและยุติความรุนแรงอาจเกิดขึ้นได้ แต่หากความขัดแย้งยังคงรุนแรงและบานปลาย ก็อาจกระทบกับราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งปัจจุบันอิหร่านผลิตน้ำมันราว 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน และส่งออกประมาณ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ความต้องการน้ำมันทั่วโลกโดยรวมอยู่ที่ราว 103.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามข้อมูลจาก International Energy Agency ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีศักยภาพในการเพิ่มกำลังการผลิตได้รวมกว่า 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะสามารถช่วยลดแรงกระแทกจากการหยุดชะงักของอิหร่านได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันสะท้อนความกังวลว่า สถานการณ์อาจบานปลายจนถึงขั้นที่อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นทางเดินเรือหลักของน้ำมันโลก หรืออาจโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของประเทศเพื่อนบ้าน โดยในอดีตที่ผ่านมาความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาน้ำมัน และเศรษฐกิจโลกนั้นไม่เคยเรียบง่าย และบางครั้งก็แสดงออกอย่างซับซ้อนเกินคาด
อ้างอิงจากงานวิจัยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่เผยแพร่ในปี 2023 ยกตัวอย่างว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนต์พุ่งขึ้น 5% หลังเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 เนื่องจากนักลงทุนหวั่นว่าอาจเกิดสงครามในตะวันออกกลาง แต่ราคากลับลดลงถึง 25% ภายในสองสัปดาห์ เพราะความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยที่อาจกดดันอุปสงค์น้ำมันอย่างรุนแรง เหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นหลังรัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2022 เมื่อราคาน้ำมันพุ่ง 30% ในช่วงสัปดาห์แรก ก่อนจะลดลงสู่ระดับก่อนเกิดเหตุภายในเวลาเพียง 8 สัปดาห์เท่านั้น
งานวิจัยของ ECB ยังอธิบายว่า ผลกระทบจากความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์มักแสดงออกผ่านสองช่องทางสำคัญ ได้แก่ ช่องทางความเสี่ยง (Risk Channel) ซึ่งมีผลในระยะสั้น เมื่อเกิดความกังวลว่าอุปทานน้ำมันจะขาดแคลน ราคาสัญญาน้ำมันจะปรับขึ้น โดยสะท้อนผ่าน “Convenience Yield” หรือผลตอบแทนจากการถือครองจริง และในระยะยาวจะผ่านช่องทางกิจกรรมเศรษฐกิจ (Economic Activity Channel) ที่ความไม่แน่นอนจะบั่นทอนการลงทุน การบริโภค และการค้า ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันลดลงตามมา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์มักไม่ยั่งยืนนัก
แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่สถานการณ์จะคลี่คลายเช่นนี้ ย้อนกลับไปในวิกฤตราคาน้ำมันปี 1973 และ 1979 สหรัฐต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังเกิดเหตุ และโอกาสที่ราคาน้ำมันจะเป็นตัวจุดชนวนปัญหาเศรษฐกิจโลก ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนและทุกฝ่ายไม่อาจมองข้าม
อย่างไรก็ดี งานศึกษาล่าสุดจากธนาคารกลางสาขาดัลลัสของสหรัฐพยายามวิเคราะห์แยกแยะ “ความไม่แน่นอนด้านราคาน้ำมัน” ออกจาก “ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโดยรวม” พบว่า แม้จะมีความเสี่ยงด้านอุปทานระดับเดียวกับวิกฤตในอดีต เช่น ปี 1973 หรือ 1979 ผลกระทบต่อการผลิตเศรษฐกิจจริงน่าจะจำกัดอยู่เพียง -0.12% เท่านั้น
สรุปคือ แม้ราคาน้ำมันจะตอบสนองต่อความไม่แน่นอนในระยะสั้นอย่างรุนแรง แต่หากความเสี่ยงเหล่านั้นไม่เกิดขึ้นจริง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกก็มีแนวโน้มอยู่ในวงจำกัด แนวโน้มนี้ยังปรากฏในตลาดการเงินอื่นเช่นกัน รายงาน Global Financial Stability Report ของ IMF ระบุว่า เหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มักทำให้ราคาหุ้นปรับลดเล็กน้อยในระยะสั้น แต่ไม่ส่งผลกระทบถาวร ตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นโลกสามารถฟื้นตัวได้ทั้งจากเหตุการณ์อิรักบุกคูเวตในปี 1990 และรัสเซียบุกยูเครนในปี 2022 ข้อยกเว้นสำคัญยังคงเป็นปี 1973 ที่การคว่ำบาตรน้ำมัน ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงอย่างรุนแรงภายในเวลาเพียง 12 เดือน
ท้ายที่สุด สิ่งที่ตัดสินผลกระทบทางเศรษฐกิจก็คือ “ระยะเวลา” และ “ระดับความรุนแรง” ของความขัดแย้ง หากสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลและอิหร่านไม่ยืดเยื้อหรือรุนแรงเกินควบคุม เช่นเดียวกับช่วง “สงครามเรือบรรทุกน้ำมัน” ในทศวรรษ 1980 ที่อิหร่านและอิรักโจมตีเรือกว่า 200 ลำในช่องแคบฮอร์มุซ ราคาน้ำมันก็ยังสามารถทรงตัวได้ในระยะยาว สะท้อนว่าหากไม่มีการหยุดชะงักครั้งใหญ่ในอุปทาน ผลกระทบที่แท้จริงต่อเศรษฐกิจโลก ก็อาจอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ส่องบทเรียนจากอดีต : ผลกระทบสงครามอิสราเอล-อิหร่าน เมื่อราคาน้ำมันสั่นสะเทือนเศรษฐกิจโลก
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net