KBANK คาดกรอบบาทสัปดาห์หน้า 32.30–33.00 บ. จับตาการเมืองไทย-ทองคำ
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้า ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 32.30–33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าเงินบาทปิดตลาดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ระดับ 32.60 บาทต่อดอลลาร์
โดยในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าลงแตะระดับ 33.05 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 1 เดือน โดยได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นตามภาวะเสี่ยงทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางสัปดาห์ เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นตามทิศทางของเงินหยวนและสกุลเงินในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ หลังจากมีรายงานว่าทั้งอิสราเอลและอิหร่านสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ยังอ่อนค่าลงต่อเนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ลดลง และสัญญาณจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งเปิดทางถึงความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หากภาษีนำเข้า (Tariffs) ยังไม่ส่งผลให้เงินเฟ้อพุ่ง
อีกทั้ง ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับตำแหน่งประธานเฟดที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงในเดือนกันยายนหรือตุลาคมนี้ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณเตรียมเริ่มสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งคนใหม่ แทนนายเจอโรม พาวเวล ซึ่งจะหมดวาระในปีหน้า
ขณะเดียวกัน มติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% พร้อมทบทวนประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ระดับ 2.3% ยังไม่มีผลต่อค่าเงินบาทในเชิงนัยสำคัญในระหว่างสัปดาห์
โดยในช่วงปลายสัปดาห์ เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงอีกครั้งตามการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงแรงขายสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย ขณะที่นักลงทุนจับตาปัจจัยการเมืองภายในประเทศอย่างใกล้ชิด
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์หน้า ได้แก่ รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือนพฤษภาคมของไทย สถานการณ์การเมืองภายใน ฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติ และทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่อาจมีผลต่อค่าเงิน ประกอบด้วย ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตและบริการ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงานเดือนมิถุนายน จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพฤษภาคม และดัชนีการหมุนเวียนแรงงาน (JOLTS)
นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการของจีน อังกฤษ และยูโรโซน รวมถึงเงินเฟ้อเดือนมิถุนายนของยูโรโซน ตลอดจนพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่อาจส่งผลต่อทิศทางตลาดเงินทั่วโลก