‘ทบ.’ แจงทุกเม็ด! ฟ้องคณะทูต ไล่ไทม์ไลน์มัด ‘เขมร’ จุดไฟชายแดน ใส่ร้ายไทย
ทบ. เก็บทุกเม็ด ฟ้องคณะทูต ไล่ไทม์ไลน์ กัมพูชาจุดไฟชายแดน จัดกิจกรรมยั่วยุ รุกอธิปไตย เปิดฉากยิงสู่การสู้รบ โจมตีพลเรือน ใช้ประชาชนโล่มนุษย์ บิดเบือนข้อมูลให้ร้ายไทยใช้อาวุธเคมี ทิ้งบอมบ์ใส่บ้านเรือน
1 ส.ค. 2568 - ที่มณฑลทหารบกที่ 22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ กองทัพบก ได้ชี้แจงสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อคณะนักการทูต คณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำประเทศไทย และสื่อมวลชน โดยระบุว่า การดำเนินงานของกองทัพ ในการรักษาอธิปไตย และยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และย้ำถึงความมุ่งมั่งของกองทัพที่จะแก้ปัญหา ด้วยทวิภาคีที่ไทย และกัมพูชามีอยู่ ด้วยความจริงใจและโดยสันติวิธีมาโดยตลอด
ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการยั่วยุ เพื่อสร้างความตึงเครียด ด้วยกิจกรรมทางทหาร และพลเรือน โดยมีลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญ ดังนี้
13 ก.พ. 68 การพานักท่องเที่ยวขึ้นมาร้องเพลงปลุกใจในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม
28 ก.พ. 68 การเผาศาลาตรีมุข สัญลักษณ์ความร่วมมือ ไทย กัมพูชา และ สปป.ลาว
มี.ค. ถึง เม.ย.68 ทหารกัมพูชา ดัดแปลงภูมิประเทศแนวชายแดน เพื่อทางการทหาร เสริมความแข็งแรงของที่มั่น ปรับปรุงเส้นทาง และการขยายแนวเขตคูเลตเข้ามาในเขตประเทศไทย
เม.ย. ถึง พ.ค. 68 ฝ่ายกัมพูชา ได้เคลื่อนย้ายกำลังพลเพิ่มเติม และอาวุธยุทโธปกรณ์ประชิดชายแดนไทย - กัมพูชาเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามที่มีหลักฐานการพิสูจน์ ทราบจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของนักวิจัยชาวออสเตรเลีย ต่อมาฝ่ายกัมพูชา ได้รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทย โดยเข้ามาขุดคูเลตติดต่อ
28 พ.ค. กัมพูชาเริ่มเปิดฉากการยิง (Skirmish) ระหว่างหน่วยในพื้นที่ โดยฝ่ายไทยได้ตอบโต้ เพื่อเป็นการป้องกันตัว บริเวณช่องบก กองทัพ และรัฐบาลไทยพยายามใช้แก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี ซึ่งไม่เป็นผล
ห้วงเดือน ก.ค. 68 ทหารกัมพูชา ได้รุกล้ำเข้ามาลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหลายพื้นที่ในเขตแดนไทย จนทำให้ทหารไทยลาดตระเวน บาดเจ็บสูญเสียขาจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ถึง 2 ครั้ง ทำให้เกิดการสูญเสีย ขาขาด 2 นาย และมีบางส่วนบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่ายกัมพูชาจงใจละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง อีกทั้งเป็นการจงใจ ละเมิดอนุสัญญาออตตาวาที่ทั้งไทย และกัมพูชาให้สัตยาบรรณ นอกจากนั้น ในพื้นที่ดังกล่าว ได้ดำเนินการเก็บกู้วัตถุระเบิด ภายใต้ความร่วมมือของนานาชาติ จนมีความปลอดภัยเป็นที่ประจักษ์แล้ว
ในขณะเดียวกันฝ่ายกัมพูชา พยายามแสดงการยั่วยุ โดยส่งทหารกัมพูชาทั้งในเครื่องแบบ และนอกเครื่องแบบแสดงเป็นพลเรือน ตลอดจนจัดตั้งมวลชนชาวกัมพูชา จากกรุงพนมเปญและใกล้เคียง เข้ามาในพื้นที่ปราสาทตาควาย ปราสาททตาเมือน และพื้นที่อื่นๆ ตามแนวชายแดน เพื่อจัดกิจกรรม ทำคอนเทนต์ แสดงออกในลักษณะยั่วยุนักท่องเที่ยวชาวไทย ประชาชนไทย และทหารไทย ในพื้นที่จนเกิดการกระทบกระทั่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างคนไทย และคน กัมพูชา ในพื้นที่ปราสาทต่าง ๆ
กองทัพบก ยังชี้แจงมาตรการควบคุมชายแดน และการเปิดฉากยิงของกัมพูชา เมื่อ24 ก.ค.68 ทหารกัมพูชา ปราสาทตาเมือนธมโดยใช้ ปืนเล็กยาว, ปืน และ เครื่องยิงลูกระเบิด mortar จนนำไปสู่การปะทะกัน
จากนั้น ฝ่ายกัมพูชา ได้ยกระดับเป็นการใช้กำลังรบ และอาวุธยิงสนับสนุน ปืนใหญ่ และจรวดหลายลำกล้อง BM-21 โจมตีฝ่ายไทยตลอดแนวชายแดน จงใจยิงเป้าหมายพลเรือน ซึ่งหากจากชายแดน เกือบ 10 กม. ถึง 30 กม. โรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ ปั๊มน้ำมัน PTT บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศีรษเกษ ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-11 บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โรงเรียนในจังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษ บ้านเรือนราษฎร เช่น หมู่บ้านกรวด บ้านกุดเชียง ในพื้นที่ จ.สุรินทร์, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ทำให้พลเรือนบาดเจ็บ 36 ราย เสียชีวิต 15 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิต 1 ในนั้นเป็นเด็กอายุเพียง 8 ปี และมีราษฎรต้องอพยพจำนวนมากกว่า 150,000 คน
ขณะที่ฝ่ายไทยตอบโต้ภายใต้หลักการแห่งการป้องกันตนเอง(Right of Self-Defense) ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ(Article 51 of the UN Charter) ซึ่งระบุว่า “ไม่มีบทบัญญัติใดในกฎบัตรนี้จะกระทบสิทธิของรัฐในการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย หากมีการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้นต่อรัฐนั้น” การตอบโต้ของฝ่ายไทยจึงเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมาย และอยู่ภายใต้หลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน (Necessity and Proportionality) โดยมีเป้าหมายเพียงเพื่อยับยั้งภัยคุกคาม ลดการสูญเสียของพลเรือน และรักษาเสถียรภาพของอธิปไตยแห่งชาติทั้งนี้ฝ่ายไทยมิได้มีเจตนาที่จะรุกรานหรือกระทำการใด ๆ ที่เกินขอบเขตการป้องกันตนเองจากการคุกคามโดยฝ่ายกัมพูชา
ทั้งนี้ ฝ่ายไทยทำการโจมตีเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาใช้การโจมตีแบบ indiscriminate target ทำให้เกิดการสูญเสียทางพลเรือนของฝ่ายไทย นอกจากนี้ที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุนในเขตชุมชนพลเรือน เสมือนเป็นใช้โล่ห์มนุษย์ ซึ่งฝ่ายไทยไม่ตอบโต้ไปเป้าหมายดังกล่าว ถือเป็นการเจตนาละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงจนไม่สามารถให้อภัยได้ และไม่มีประเทศอารยธรรมใดในโลกที่ยอมรับการกระทำ ซึ่งไร้มนุษยธรรมในลักษณะดังกล่าว
กองทัพยังสรุปถึง สถานการณ์ปัจจุบัน กัมพูชายังคงดำเนินการทางทหาร หลังจากมีการเจรจาข้อตกลงหยุดยิง ที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 แล้ว เวลาหลังเที่ยงคืน ฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงการหยุดยิง ในพื้นที่ดังต่อไปนี้
1.Chong Bok Area, Ubon Ratchathani Province
2.Sam Tae Area, Si Sa Ket Province
3.Pha Mor E Daeng, Si Sa Ket Province
4.Phu Ma Khua/Khanmar Area, Si Sa Ket Province
5.Phlan Yao Area, Si Sa Ket Province
6.Ta Kwai Temple, Surin Province
ทั้งนี้ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงหยุดยิง จนถึงวันที่ 30 ก.ค.68 เวลา 05.10 น. และเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 68 ตรวจพบทหารกัมพูชาเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทยและการใช้อากาศยานไร้คนขับของฝ่ายกัมพูชา บินตรวจการณ์ในพื้นที่ตอนในของฝ่ายไทย อย่างมีนัยสำคัญ
การตอบโต้การบิดเบือนข้อมูล กัมพูชากล่าวหาว่าไทยรุกรานกัมพูชา และละเมิดกติกาสหประชาชาติ อำนาจอธิปไตย และอาณาเขตรัฐ ซึ่งตามข้อเท๋จจริงประเทศไทยเป็นรัฐสมาชิกสหประชาชาติที่เคารพในกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเคร่งครัด รวมถึงหลักการไม่ใช้กำลังในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ (Article 2(4) UN Charter)
การปฏิบัติของฝ่ายไทยเป็นการป้องกันตนเองอย่างจำเป็นและได้สัดส่วน (necessity &proportionality) ตามสิทธิที่ระบุไว้ใน Article 51 ของกฎบัตรฯ หลังจากฝ่ายกัมพูชา ใช้อาวุธโจมตีด่านทหาร ฝ่ายปกครอง และชุมชนไทยในหลายพื้นที่ ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่ากำลังฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนกำลังเข้ามาในเขตแดนของไทยหลายครั้ง พร้อมใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายของฝ่ายไทยโดยเฉพาะเป้าหมายพลเรือน เช่น โจมตี รพ.พนมดงรัก ซึ่งหากจากชายแดน เกือบ 10 กม., ปั้มน้ำมันบ้านผือ ที่หากจากชายแดน 30 กม.
สำหรับการใช้ระเบิดเคมี เป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรง และไร้มูลความจริงโดยสิ้นเชิง ประเทศไทยเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี(Chemical Weapons Convention - CWC) และปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ไม่มีหน่วยใดในกองทัพไทยที่ใช้อาวุธเคมีทั้งในแง่ยุทธวิธีหรือยุทธศาสตร์การกล่าวหาเช่นนี้เข้าข่าย war propaganda และเป็นความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อใส่ร้าย กรณีภาพ “ระเบิดเคมี” ที่ฝ่ายกัมพูชาเผยแพร่ โดยรัฐบาลกัมพูชา แท้จริงคือภาพภารกิจการดับไฟ้ป่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ปี2022 ซึ่งสามารถดูภาพดังกล่าวได้ผ่านทางสื่อออนไลน์
ส่วนที่ไทยใช้เครื่องบิน F-16 และอาวุธหนักจำนวนมากนั้น อาวุธทั้งหมดที่ใช้ในการตอบโต้และมีความเหมาะสมตามสัดส่วน เป็นเพื่อสกัดการรุกล้ำของฝ่ายกัมพูชา และกระทำต่อเป้าหมายทางทหาร บริเวณแนวชายแดน ไม่ใช่การโจมตีเชิงรุก แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาต่างหากที่วางกำลังและยิงอาวุธจากพื้นที่พลเรือน ใช้ชุมชนเป็น “โล่มนุษย์” ซึ่งเป็นการละเมิด International Humanitarians Laws อย่างร้ายแรง
กองทัพบก ชี้แจงถึงกรณีไทยใช้ระเบิด MK-84 ตกใส่บ้านเรือนของประชาชนกัมพูชา ตามคำแถลงของนายเฮง รัตนา หัวหน้า CMAC ของกัมพูชา มีลักษณะชัดเจนของการบิดเบือนข้อมูล โดยอ้างภาพเก่าและสร้างการเชื่อมโยงที่ไม่มีมูลความจริง ฝ่ายไทยขอปฏิเสธข้อกล่าวหาของกัมพูชาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งภาพวัตถุระเบิดที่กัมพูชาอ้างว่าเป็น MK-84 นั้น เป็นระเบิดเก่าจากยุคสงครามเวียดนาม และไม่เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์
ทั้งนี้ไทยขอประณาม และให้กัมพูชาหยุดการกล่าวหาอันเป็นเท็จ เพื่อปลุกปั่นกระแสความเกลียดชัง และขอให้หันมาร่วมมือกับประเทศไทยและประชาคมระหว่างประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนอย่างสันติผ่านการเจรจาและความร่วมมือที่ตรงไปตรงมา
ล่าสุด เมื่อ 30 ก.ค.68 ฝ่ายกัมพูชาเชิญคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ ประจำกัมพูชาไปตรวจพื้นที่การรบห่างจากชายแดน 30 กม. แต่ฝ่ายกัมพูชากลับเปลี่ยนแผน พาคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ ประจำกัมพูชา ไปพื้นที่ช่องอานม้า ซึ่งเป็นพื้นที่การสู้รบ ยังมีความเสี่ยงต่ออันตราย
กองทัพบก กล่าวสรุปช่วงท้ายว่า ขอเน้นย้ำว่า การปะทะระหว่างไทย กับกัมพูชานั้น ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มยิงก่อน โดยอาวุธระยะไกลยิงต่อ เป้าหมายพลเรือน และทำให้เกิดความเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินหายของพลเรือนที่ยอมรับไม่ได้ทั้งนี้ หลังจากที่มีการเจรจาตกลงหยุดยิงแล้วแต่ ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น กัมพูชา เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบขอให้ประชาคมระหว่างประเทศ ร่วมติดตามสถานการณ์ด้วยความเข้าใจ และร่วมกันผลักดันให้มีการเจรจาทวิภาคี เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี.