จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? หากทีมวอลเลย์บอลสาวไทยตกชั้น “เนชั่นส์ลีก”

ทั้งนี้หากทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยตกชั้น จากการแข่งขันวอลเลย์บอลเนชั่นส์ลีก (VNL 2025) จะส่งผลกระทบตามมาในหลายมิติ ทั้งต่อวงการวอลเลย์บอลไทยโดยตรง และต่อโอกาสระดับนานาชาติในอนาคต ดังนี้

1. กระทบต่อสถานะหนึ่งใน “ทีมหลัก” ของโลก

ทีมไทยถือเป็น “Core Team” (ทีมหลักถาวร) ใน VNL ตั้งแต่ปี 2022 หากตกชั้น จะต้องหลุดจากสถานะทีมหลัก กลายเป็นทีม Challenger ที่ต้องไปรอแข่งรอบคัดเลือก Challenger Cup เพื่อกลับขึ้นมาอีก และโอกาสลงแข่ง VNL จะไม่ต่อเนื่องทุกปี ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการระยะยาวของทีม

2. สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและการตลาด

การอยู่ใน VNL ช่วยสร้าง รายได้จากการถ่ายทอดสด, สปอนเซอร์, และภาพลักษณ์ระดับโลก (กรณีที่ไทยได้เป็นเจ้าภาพร่วม) หากไทยหายไปจากเวทีใหญ่แบบนี้ อาจกระทบความสนใจของแบรนด์ที่สนับสนุนวอลเลย์บอลไทยที่กลายเป็น “Soft Power” สำคัญของประเทศ ซึ่งหากหลุดจากเวทีระดับโลก จะทำให้กระแสลดลง

3. โอกาสพัฒนานักกีฬาและทีมลดลง

การได้แข่งขันกับทีมอันดับท็อปของโลกต่อเนื่องทุกปี เป็นโอกาสล้ำค่าสำหรับการพัฒนาฝีมือนักวอลเลย์บอลของไทย หากตกชั้นนักกีฬาจะต้องหาประสบการณ์จากการแข่งขันที่ “ระดับต่ำลง” ทำให้การผลักดันนักวอลเลย์บอลรุ่นใหม่ (Generation Change) ช้าลง โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่

4. กระทบภาพลักษณ์ของวอลเลย์บอลไทยในสายตาชาติอื่น

ทีมไทยเคยถูกมองว่าเป็น “ม้ามืด” หรือ “ทีมเล็กที่สู้ยักษ์ได้” ด้วยสไตล์เฉพาะตัว หากตกชั้นอาจทำให้ความน่าเกรงขามหรือแรงจูงใจจากทีมอื่นลดลง และทีมไทยอาจไม่ถูกเชิญไปแข่งรายการพิเศษ หรือแมตช์อุ่นเครื่องบ่อยเหมือนเดิม

5. เสียเวลาอย่างน้อย 1 ปีในการกลับคืน

เพราะการกลับมา VNL ต้องไปรอแข่งรายการ FIVB Challenger Cup (ในระดับเดียวกับเวียดนาม) ซึ่งมีเพียง 1 ทีมที่ได้สิทธิกลับเข้า VNL ต่อปี ซึ่งไทยจะเสียเวลาอย่างน้อย 1 ฤดูกาลหรือมากกว่านั้น ในระหว่างนั้น ทีมอื่นก็มีโอกาสพัฒนาแซงหน้าได้อีก

บทสรุป หากไทยต้องตกชั้น เท่ากับถอยหลังทั้งระบบ เพราะการตกชั้นจาก VNL จะไม่ใช่แค่เรื่องของ “ชื่อชั้น” เท่านั้น แต่หมายถึง การหยุดพัฒนา เสียโอกาส และกระทบต่อทั้งวงการวอลเลย์บอลไทยในระดับนานาชาติ ทั้งในแง่ความสามารถของนักกีฬา การพัฒนาเยาวชน โอกาสเชิงพาณิชย์ และภาพลักษณ์ของชาติ

ดังนั้นแมตช์สุดท้ายกับแคนาดา จึงไม่ใช่แค่เกมธรรมดา แต่คือ “เกมตัดสินอนาคตวอลเลย์บอลหญิงไทยในระดับโลก”

ขณะเดียวกันหากไทยตกชั้น VNL ยังอาจส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 (แข่งขัน ระหว่าง 22 ส.ค. – 7 ก.ย. 2568) ที่ไทยได้รับเลือกให้เป็น “เจ้าภาพร่วม” กับอีกประเทศหนึ่งในเอเชีย (เช่น ฟิลิปปินส์ หรือญี่ปุ่น ขึ้นกับ FIVB ประกาศ)

ทั้งนี้ แม้การตกชั้น VNL จะไม่กระทบสิทธิการเป็นเจ้าภาพโดยตรง เพราะสิทธินี้ได้มาตามกระบวนการของสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ(FIVB) ที่ยื่นขอเป็นเจ้าภาพล่วงหน้า และพิจารณาจากศักยภาพในด้านสนาม, โลจิสติกส์, ความนิยมกีฬาในประเทศ และการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งทีมไทยจะได้สิทธิเข้าร่วมอัตโนมัติ ในฐานะเจ้าภาพ โดยไม่ต้องผ่านรอบคัดเลือก

อย่างไรก็ดีหากไทยตกชั้น VNL จะกระทบกับภาพลักษณ์ และแรงดึงดูดของทัวร์นาเมนต์ เพราะถ้าไทยยังอยู่ใน VNL :

-แฟนบอลทั่วโลกจะจับตามากขึ้น เพราะไทยอยู่ในระดับ “Top 16” ของโลก

-สร้างบรรยากาศการแข่งขันให้ยิ่งใหญ่ ดึงดูดผู้ชม-สปอนเซอร์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

-เพิ่มความเชื่อมั่นของ FIVB ว่าไทยคือ “เจ้าภาพคุณภาพ” ทั้งเชิงกีฬาและการจัดการ

แต่ ถ้าไทยตกชั้น :

-ไทยจะถูกมองว่าเป็น “เจ้าภาพที่ทีมหลักหลุดฟอร์ม” ซึ่งอาจกระทบการโปรโมต

-ยอดผู้ชม-ยอดขายตั๋วอาจลดลง หากทีมเจ้าบ้านไม่มีฟอร์มเด่นในเวทีนานาชาติก่อนแข่ง

-กระทบโอกาสในการขอเป็นเจ้าภาพทัวร์นาเมนต์อื่นของ FIVB ในอนาคต (เช่น VNL รอบไฟนอล หรือ World Club Championship)

-นอกจากนี้จะกระทบกับการฟอร์มทีมชาติไทยในแมตช์ชิงแชมป์โลกโดยตรง เพราะการตกชั้น VNL จะเท่ากับไม่มีเกมระดับโลกให้ลงแข่งในปี 2025 ก่อนถึงชิงแชมป์โลก

-นักกีฬาจะขาดแมตช์ใหญ่สำหรับเตรียมทีม เพราะต้องไปแข่ง Challenger Cup ซึ่งคุณภาพต่ำกว่า

ฟอร์มทีมไทยอาจไม่แกร่งพอเมื่อต้องเจอทีมท็อป 10 โลกในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มชิงแชมป์โลก

ขณะเดียวกันจะกระทบพลังสนับสนุนจากภาคเอกชนถ้าฟอร์มทีมถดถอย สปอนเซอร์อาจลดระดับการสนับสนุน ส่งผลต่อการจัดงานและกระแสความสนใจของสื่อและแฟนบอลลดลง หากทีมไทยไม่เป็นความหวังในการ “เข้ารอบลึก” ในบ้านตัวเอง

สรุป : ไม่เสียสิทธิ์ แต่เสียโอกาส ซึ่งแม้การตกชั้น VNL จะไม่ทำให้ไทยเสียสิทธิ์เป็นเจ้าภาพชิงแชมป์โลก แต่จะกระทบภาพลักษณ์ การฟอร์มทีม และแรงสนับสนุน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการเป็นเจ้าภาพโดยแท้