ปอท.รวบสาวรับจ้างเปิดบัญชีม้า สารภาพร่วมหลอกเงินเหยื่อหลายครั้ง และร่วมงานกับหลายแก๊ง
ปอท.รวบสาวรับจ้างเปิดบัญชีม้า สารภาพร่วมหลอกเงินเหยื่อหลายครั้ง และร่วมงานกับหลายแก๊ง
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) โดย พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม กก.1 บก.ปอท. ร่วมกันจับกุม นางสาวมา (นามสมมุติ) อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและ ได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน”
ตามนโยบายรัฐบาล, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ดำเนินการกวาดล้างขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นภัยอาชญากรรมที่ก่อความเสียหายต่อประชาชนและสังคมในวงกว้าง และเน้นย้ำให้มีการเตือนภัยรูปแบบการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้กับประชาชนทราบผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย และสื่อต่างๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ได้ดำเนินการสืบสวนติดตามผู้ต้องหาตามหมายจับ ซึ่งเป็นเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงให้เหยื่อโอนเงินให้ ซึ่งวิธีการหลอกลวงจะใช้เฟซบุ๊กปลอม ติดต่อหาเหยื่อและพูดคุยด้วยความสนิทสนม จนเกิดความเชื่อใจแล้ว จึงชวนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันปลอมชื่อ “Tidex” โดยในคดีนี้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้คนร้ายผ่านบัญชีม้าหลายบัญชี (1 ในนั้นเป็นบัญชีของผู้ต้องหาตามหมายจับรายนี้) รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 22.4 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาและผู้ต้องหาตามหมายจับรายนี้ ได้หลบหนีไปอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านและยังหลบหนีอยู่ โดยสมาชิกรายอื่นๆ ในเครือข่ายได้ถูกจับกุมดำเนินคดีส่งศาลอาญาพระโขนงไปแล้ว ในปี 2567 และศาลอาญาพระโขนงมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นตัดสินให้ลงโทษจำเลย
จากการสืบสวนและเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด พบว่าผู้ต้องหารายนี้ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง คอยย้ายสถานที่หลบหนีไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง ได้สืบทราบว่าผู้ต้องหาตามหมายจับได้หลบหนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ที่บ้านพักใน จ.นครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ซึ่งได้สะกดรอยติดตามผู้ต้องหารายนี้มาโดยตลอด จึงนำกำลังไปจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมายและจะได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลเพื่อจับกุมผู้ที่ร่วมขบวนการรายอื่นๆ ต่อไป สอบสวนผู้ต้องหาให้การว่า ในครั้งแรก ผู้ต้องหาถูกหลอกลวงให้เปิดบัญชีธนาคารและข้ามไปทำงาน ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหลอกลวงเอาเงินจากประชาชน โดยไม่เต็มใจที่จะไปทำ และถูกข่มขู่ บังคับสารพัด จึงหนีกลับมาอยู่ภายในประเทศไทย แต่ในครั้งถัดๆ ไป ผู้ต้องหาเดินทางข้ามกลับไปทำงานอีกด้วยความสมัครใจ โดยยอมรับว่าทำงานอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมาแล้วหลายครั้งและหลายแก๊ง