2 กูรู YLG - ฮั่วเซ่งเฮง ประสานเสียง ราคาทองแนวโน้มพุ่ง
2 กูรูทองประสานเสียง ทองเตรียมพุ่ง วายแอลจีชี้ ทองคำเตรียมเข้าสู่รอบการปรับตัวขึ้นอีกครั้ง รับปัจจัยหนุนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาต่ำกว่าคาด ขณะที่ฮั่วเซ่งเฮง หวั่น ทรัมป์ขึ้นภาษี 69 ประเทศ มีผล 7 ส.ค.วันนี้ ส่อเผชิญวิกฤตเงินเฟ้อโลก! จับตา 12 ส.ค. ผลเจรจาภาษีจีน-สหรัฐฯ ถ้าแรงกับแรง ทองมีแนวโน้มแตะ 3,500 ดอลลาร์
วันที่ 7 ส.ค. 2568 นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่าราคาทองคำมีสัญญาณการเคลื่อนไหวที่ดี หลังจากที่พักตัวในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐที่อ่อนแอลง อาทิ การจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือนก.ค. ที่เพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง อีกทั้งมีการปรับลด ตัวเลขเดือนมิ.ย. ลงเหลือเพียง 14,000 ตำแหน่ง ประกอบกับ ดัชนี ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ หรือ PMI จาก ISM ของสหรัฐฯ เดือนก.ค. ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.1 ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 51.5
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สะท้อนความเปราะบาง โดยเฉพาะในตลาดแรงงาน ส่งผลให้ตลาดกลับมาคาดการณ์ว่า เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% สอดคล้องกับถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่เริ่มแสดงความกังวลต่อสัญญาณอ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐ ทั้ง “ลิซา คุก” ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่กล่าวว่าการปรับลด ตัวเลขการจ้างงานสะท้อนถึงช่วงพลิกผันทางเศรษฐกิจ รวมไปถึง “แมรี ดาลี” ประธานเฟดซานฟรานซิสโก และ “นีล แคชคารี” ประธานเฟดมินนิแอโพลิส ที่กล่าวสอดคล้องกันว่า การเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไม่กี่เดือนข้างหน้าอาจเป็นเรื่องที่เหมาะสม
อีกทั้งแบบสำรวจของ รอยเตอร์ ซึ่งจัดทำในช่วงวันที่ 1 - 5 ส.ค. ที่ผ่านมา บ่งชี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องในอีก 12 เดือนข้างหน้า เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของเฟด
โดยมีสาเหตุมาจาก “เจอโรม พาวเวล” ถูกกดดันให้ออกจากตำแหน่งประธานเฟด ในขณะที่ “เอเดรียนา คูเกลอร์” ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการเฟด ซึ่งมีผลวันที่ 8 ส.ค. นอกจากนี้ ยังมีความวิตกเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของข้อมูลเศรษฐกิจหลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” สั่งปลด “อริกา แมคเอนทาร์เฟอร์” ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักสถิติแรงงานสหรัฐ (BLS)
ทั้งนี้ แม้ปัจจัยทั้งหมดจะค่อนข้างเอื้อให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในระยะนั้นยังอาจถูกแรงขายทำกำไรสลับออกมาได้บ้าง จากประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่บรรเทาลง หลังจากการเจรจาระหว่างทูตสหรัฐกับรัสเซีย เพื่อยุติสงครามในยูเครนนั้นมีความคืบหน้าในเชิงบวก และล่าสุด “โดนัลด์ ทรัมป์” เปิดเผยว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะพบปะกับ “วลาดิเมียร์ ปูติน” ปธน.รัสเซีย และ “โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี” ปธน.ยูเครน เร็ว ๆ นี้
สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของทองคำในระยะสั้น วายแอลจีคาดว่าทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวต้าน 3,405-3,420 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และกรอบแนวรับ 3,358-3,329 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนราคาทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศเคลื่อนไหวในกรอบ 51,000-52,350 บาทต่อบาททองคำ (ที่ระดับค่าเงินบาท 32.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)
ขณะที่ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัซ จำกัด ผู้ให้บริการด้านกการลงทุนทองคำ เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า จากการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้มาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากคู่ค้าทั่วโลกถึง 69 ประเทศ โดยมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันนี้ (7 ส.ค. 2568) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการกีดกันทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยมาตรการภาษีนำเข้าครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ
โดยเฉพาะกลุ่มประเทศคู่ค้าสำคัญกับสหรัฐฯ เช่น แคนาดา (ภาษี 35%) สวิตเซอร์แลนด์ (ภาษี 39%) และไต้หวัน (ภาษี 20%) นอกจากนี้ยังรวมถึงกลุ่มประเทศ BRICS ที่แสดงท่าทีต่อต้านนโยบายของทรัมป์ เช่น บราซิล (ภาษี 50%) แอฟริกาใต้ (ภาษี 30%) และอินเดีย (ภาษี 25%) อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงยกเว้นภาษีสินค้าสำคัญบางประเภทจากบราซิล
สำหรับประเทศพันธมิตรที่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับทรัมป์ เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 15% เท่ากัน ขณะที่เม็กซิโกได้รับการผ่อนผันออกไปอีก 90 วันเพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาต่อไป
โดย ฮั่วเซ่งเฮง ประเมินว่าสถานการณ์ราคาทองคำมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยได้แรงหนุนจากสองปัจจัยคือ เงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น และความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าที่ยังไม่จบลงโดยง่าย ซึ่งปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ ที่มีผลมาจากการเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าในสหรัฐฯ แพงขึ้น
ส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อสูงขึ้นตามไปด้วย สอดคล้องกับรายงานของ ฟิตซ์ เรตติ้ง ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ที่คาดการณ์ว่าอัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริง ของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 2.3% ในปี 2567 ไปสู่ระดับ 17% ในปี 2568 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อนี้จะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
นอกจากนี้ จุดที่น่าจับตามองอย่างยิ่งคือ ท่าทีของนายทรัมป์ที่มีต่อจีน โดยเฉพาะการตัดสินใจว่าจะขยายเวลาออกไปเพื่อชะลอภาษีศุลกากรตอบโต้อีกหรือไม่ ก่อนครบกำหนดในวันที่ 12 ส.ค.นี้
โดยฮั่วเซ่งเฮงระบุว่า หากสหรัฐฯ และจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ก่อนเส้นตายดังกล่าว จะส่งผลให้ความเสี่ยงด้านสงครามการค้าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในระยะถัดไป
นอกจากนี้ฮั่วเซ่งเฮงยังได้ประเมินแนวโน้มราคาทองคำตามสถานการณ์ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ดังนี้
1. สหรัฐฯ-จีนไม่ขยายเวลาเส้นตาย โดยหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ หรือไม่สามารถขยายเส้นตายก่อนวันที่ 12 ส.ค. คาดว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งมีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 3,440 ดอลลาร์ โดยเป็นระดับสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้
2. สหรัฐฯ-จีนขยายเวลาเส้นตาย ทั้งนี้หากสามารถขยายเวลาการเจรจาออกไปได้ คาดว่าราคาทองคำจะกลับเข้าสู่ช่วงการปรับฐานรอบใหม่ โดยอาจมีโอกาสทดสอบแนวรับสำคัญที่ระดับ 3,280-3,300 ดอลลาร์
3. สหรัฐฯ-จีนตอบโต้กันรุนแรง ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลที่สุด หากสหรัฐฯ และจีนกลับมาใช้มาตรการภาษีนำเข้าในอัตราเดิมก่อนการเจรจาที่ 145% และ 125% ตามลำดับ จะเป็นปัจจัยบวกอย่างรุนแรงต่อทองคำ และอาจผลักดันให้ราคาพุ่งสูงขึ้นไปทดสอบระดับ 3,500 ดอลลาร์ได้เช่นกัน
ฮั่วเซ่งเฮง ประเมินโดยสรุปว่าการประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าของทรัมป์ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดการค้าโลกและส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญต่อราคาทองคำในระยะยาว
ดังนั้น นักลงทุนจึงควรติดตามสถานการณ์ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นการขยายเวลาเส้นตายในวันที่ 12 ส.ค.นี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับราคาทองคำประจำวันที่ 7 ส.ค. 2568 ณ เวลา 16.47 น. ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ โดยเป็นราคาปิดครั้งที่ 11 ทองคำแท่ง 96.5 รับซื้อที่บาทละ 51,600 บาทา ขายออกที่ 51,700 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้อที่ 50,573.76 บาท ขายออกที่ 52,500 บาท ราคา Gold Spot อยู่ที่ 3,380.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ และค่าเงินบาทอยู่ที่ 32.33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : 2 กูรู YLG - ฮั่วเซ่งเฮง ประสานเสียง ราคาทองแนวโน้มพุ่ง
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th