โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

มองต่างมุม “แลนด์บริดจ์” บนความเสี่ยงความคุ้มค่า-ความมั่นคง

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 19 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รศ.ดร.สมพงษ์ ศิริโสภณศิลป์ ที่ปรึกษา หลักสูตรสหสาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยบทความพิเศษเกี่ยวกับ โครงการ “แลนด์บริดจ์” ว่า โครงการแลนด์บริดจ์ กลับมาอยู่ในกระแสข่าวอีกครั้ง เพราะในวันที่ 5 – 6 ส.ค. 2568 มีจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนครั้งที่ 3 เพื่อทบทวน ร่างรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบ สิ่งแวดล้อม

รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม” สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือที่แหลมอ่าวอ่าง จังหวัดระนอง และที่แหลมริ่ว จังหวัดชุมพร โดยบทความนี้จะเน้นเรื่องการคาดการณ์ว่าจะมีเรือและสินค้าเข้ามาใช้บริการมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีการสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ที่ชุมพรและระนอง พร้อมระบบถนนและรถไฟขนาดใหญ่เชื่อมถึงกัน

เขาเดินเรือกันอย่างไร?

โครงการแลนด์บริดจ์ถูกออกแบบมาเป็นทางเลือกใหม่ในการขนส่งสินค้าทางเรือ แข่งกับเส้นทางเดิมที่ผ่านช่องแคบมะละกา คำถามสำคัญคือ ใครเป็นคนตัดสินใจเลือกเส้นทาง? เจ้าของเรือ หรือ เจ้าของสินค้า?

ลองนึกถึงเวลาเราสั่งของออนไลน์ คนซื้อหรือคนขายจะบอกแค่ว่าของจะส่งจากที่ไหนไปที่ไหน แต่คนกำหนดเส้นทางคือบริษัทขนส่ง เช่น ไปรษณีย์ไทย การตัดสินใจว่าเรือจะใช้เส้นทางไหนระหว่างช่องแคบมะละกากับแลนด์บริดจ์ก็เหมือนกัน เป็นการตัดสินใจของเจ้าของเรือหรือบริษัทเดินเรือระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ โดยทั่วไป การตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินเรือจะต้องพิจารณาหลายปัจจัยด้วยกัน แต่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจคือ ต้นทุนและเวลา พวกเขาจะเลือกเส้นทางที่ประหยัดเงินและเวลาที่สุด

เรือขนส่งสินค้ามีหลายแบบ แต่แลนด์บริดจ์มุ่งเป้าไปที่เรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ เพราะสินค้าพวกนี้มีลักษณะเป็นกล่องขนาดมาตรฐาน (ส่วนใหญ่ความยาว 20 ฟุตและ 40 ฟุต ทั้งนี้ ตู้ขนาด 20 ฟุตจะมีหน่วยนับเป็น 1 TEU ส่วนตู้ขนาด 40 ฟุตมีหน่วยนับเป็น 2 TEUs) ทำให้ขนย้ายขึ้นลงเรือได้ง่ายที่สุด

เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ส่วนใหญ่เป็นการให้บริการแบบประจำเส้นทาง (Liner Service) ซึ่งมีเส้นทางและตารางเรือชัดเจน ภายใต้ระบบ Hub-and-Spoke โดยมี Hub คือ ท่าเรือขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการรวบรวมและกระจายสินค้าในแต่ละภูมิภาค ผ่านเส้นทาง Spoke เชื่อมโยงระหว่างท่าเรือหลักที่เป็น Hub กับท่าเรือรองที่เป็นต้นทางหรือปลายทางของสินค้าในภูมิภาค

เส้นทางเดินเรือหลักของเรือแม่ระหว่างท่าเรือหลัก (แสดงด้วยวงกลม) และเขตอิทธิพลของแต่ละท่าเรือหลัก (พื้นที่ในเส้นประ) และมีอาเซียนเป็นเขตอิทธิพล ส่วนท่าเรือโคลัมโบของศรีลังกามีเอเชียใต้และตะวันออกกลางเป็นเขตอิทธิพล

1. เส้นทางหลัก (Main line หรือ Trunk line) : ส่วนใหญ่ใช้เรือแม่ (Mother Vessels) ขนาดใหญ่ (10,000-20,000 TEUs) วิ่งระหว่างท่าเรือหลักที่เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าของแต่ละภูมิภาค

2. เส้นทางรอง (Feeder line) : ใช้เรือลำเลียง (Feeders) ขนาดเล็กกว่า (1,000-3,000 TEUs) เพื่อรับส่งสินค้าระหว่างท่าเรือรองกับท่าเรือหลัก เรือที่เข้ามาใช้บริการของท่าเรือในช่องแคบมะละกา ส่วนมากประกอบด้วยเรือแม่ที่วิ่งข้ามช่องแคบมะละการะหว่าง 2 ฝั่งทะเล จะเป็นเรือขนาดใหญ่

ส่วนเรือที่ให้บริการเฉพาะฝั่งใดฝั่งหนึ่งของช่องแคบจะเป็นเรือลำเลียง ขนาดเล็กกว่ามาก ทำการรับส่งสินค้าระหว่างท่าเรือหลักในช่องแคบมะละกากับท่าเรือรองในเขตอิทธิพล

จากการวิเคราะห์ข้อมูลติดตามตำแหน่งของเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ที่ได้แล่นเข้ามาในพื้นที่ช่องแคบมะละกาในปี ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) พบว่า ประมาณ 9% ของเรือในช่องแคบเป็นเรือที่วิ่งให้บริการเฉพาะฝั่งตะวันตกของช่องแคบ (ระวางบรรทุกเฉลี่ยประมาณ 26,000 ตัน) 37% เป็นเรือที่วิ่งเฉพาะฝั่งตะวันออก (ระวางบรรทุก 33,000 ตัน) ที่เหลือ 54% เป็นเรือที่แล่นผ่านช่องแคบระหว่างสองฝั่งทะเล มีขนาดใหญ่กว่ามาก (ระวางบรรทุก 96,000 ตัน)

ทั้งนี้ เรือลำเลียงให้บริการทางฝั่งตะวันออกจะจำนวนมีมากกว่าฝั่งตะวันตก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะท่าเรือในฝั่งตะวันตกสามารถเลือกใช้ท่าเรือโคลัมโบเป็นท่าเรือหลักในการถ่ายลำได้

จะมีผู้ใช้บริการเท่าไหร่?

ท่าเรือชุมพรและระนองจะดึงดูดสินค้าจำนวนมากได้ก็ต่อเมื่อสามารถจูงใจให้เรือแม่เข้ามาใช้บริการ

แน่นอนว่าเส้นทางเดินเรือผ่านแลนด์บริดจ์สั้นกว่า จากการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์เส้นทางท่าเรือปากบารากับท่าเรือสงขลา ในปี ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) โดย Royal Haskoning ให้กับ บริษัท Dubai World ซึ่งเป็นการศึกษาภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Dubai World กับ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ประมาณการว่า

เส้นทางปากบารา-สงขลา ลดระยะทางได้ 819 ไมล์ทะเล (ไป-กลับ) หรือประมาณ 410 ไมล์ทะเลต่อทิศทาง ภายใต้ความเร็วเฉลี่ยของการเดินเรือแม่ในทะเลประมาณ 15-20 ไมล์ทะเลต่อชั่วโมง เส้นทางแลนด์บริดจ์จะช่วยลดระยะเวลาเดินเรือในทะเลไม่เกิน 2 วัน

อย่างไรก็ดี การพิจารณาการเสียเวลาของเรือไม่สามารถคิดเฉพาะเพียงช่วงที่เรือแล่นในทะเลเท่านั้น จะต้องรวมเวลาที่เรือใช้ขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือด้วย

กรณีผ่านช่องแคบมะละกา สินค้าส่วนใหญ่ที่ทำการขนถ่ายจะเป็นสินค้าของประเทศอาเซียน และอาจมีสินค้าทวีปออสเตรเลียบ้าง ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตอิทธิพลของท่าเรือหลักในช่องแคบมะละกา มีจำนวนประมาณ 20-25% ของสินค้าบนเรือแม่ สินค้าส่วนใหญ่ 80% บนเรือแม่ที่จะไปต่อยังประเทศอื่นๆจะยังคงบรรทุกอยู่บนเรือ โดยระยะเวลาที่การขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือในช่องแคบมะละกาจะใช้เวลา 1-2 วัน

รูปที่ 2 เปรียบเทียบเส้นทางเดินเรือของเรือแม่ใน 2 ทางเลือกระหว่างช่องแคบมะละกากับแลนด์บริดจ์

กรณีผ่านแลนด์บริดจ์ เรือแม่จะต้องขนสินค้าทั้งหมดลงจากเรือที่ท่าเรือฝั่งหนึ่ง และนำไปขึ้นเรืออีกลำที่ท่าเรืออีกฝั่ง สมมติว่ามีสินค้าที่ต้องทำการขนถ่ายจากเรือแม่ลำละ 8,000-10,000 TEUs โดยปั้นจั่นแต่ละตัวอาจขนได้ประมาณ 30 TEUs ต่อตัว (ในสภาพอากาศปกติ แต่ถ้ามีฝนตก ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยในจังหวัดระนอง “ฝนแปดแดดสี่” อัตราการทำงานนี้จะลดลง) ใช้ปั้นจั่นขนตู้สินค้าพร้อมกันได้ 4 ตัวต่อลำ เรือแต่ละลำใช้เวลาขนถ่ายประมาณ 4 วัน

การขนส่งผ่านแลนด์บริดจ์ ต้องใช้เรือขนถ่ายทั้ง 2 ฝั่ง ขนลงจากเรือฝั่งหนึ่งและไปขึ้นเรืออีกฝั่งหนึ่ง รวมเป็นการเสียเวลาของเรือทั้ง 2 ฝั่งในการขนถ่ายสินค้าไม่ต่ำกว่า 8 วัน นอกจากเสียเวลาขนถ่ายแล้ว ยังมีต้นทุนในการขนตู้สินค้าขึ้นลงเรือฝั่งละอย่างน้อย 800 บาทต่อตู้ และค่าขนส่งทางรถบรรทุกหรือทางรถไฟระหว่างท่าเรือ 2 ฝั่งอีกประมาณ 1,500 บาทต่อตู้ รวมเป็น 3,100 บาทต่อตู้ รวมทั้งลำจะเป็นภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 24-30 ล้านบาท

โดยสรุป การขนส่งผ่านแลนด์บริดจ์แม้จะช่วยประหยัดเวลาเดินทางในทะเลได้ 2 วัน แต่ต้องเสียเวลาจอดขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 6 วัน ทำให้เสียเวลารวมมากกว่า 4 วัน และยังมีต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกกว่า 24-30 ล้านบาทต่อลำ นอกจากนี้ การขนส่งสินค้าถ่ายลำข้ามประเทศผ่านแลนด์บริดจ์ยังต้องเจอกับขั้นตอนทางศุลกากรที่ยุ่งยาก เพราะต้องขนส่งสินค้าต่างประเทศเข้าประเทศผ่านทั้งท่าเรือชุมพรและท่าเรือระนองอีกด้วย

ทั้งนี้ การถ่ายลำสินค้าผ่านท่าเรือในช่องแคบมะละกาไม่มีปัญหาดังกล่าว เพราะสินค้าจะอยู่ในเขตท่าเรือตลอดเวลาไม่ได้ออกจากพื้นที่ควบคุมของศุลกากร

รูปที่ 3 แสดงการทำการขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือในกรณีที่ผ่านช่องแคบมะละกากับกรณีแลนด์บริดจ์

จึงสรุปได้ว่า เรือแม่ส่วนใหญ่น่าจะเลือกแล่นผ่านช่องแคบมะละกามากกว่า เมื่อเรือแม่ต้องแล่นผ่านช่องแคบมะละกาแล้ว คงไม่แวะท่าเรือชุมพรเพราะอยู่นอกเส้นทางเดินเรือมาก แต่เป็นไปได้ที่บางลำอาจเลือกที่จะแวะท่าเรือระนองเพื่อรับขนถ่ายสินค้าเพิ่มเติมที่ท่าเรือนี้

คำถามถัดไป สินค้าอะไรจะมาขนถ่ายขึ้นเรือแม่ที่ท่าเรือระนอง?

1. ส่วนหนึ่งจะเป็นสินค้าภายในประเทศไทย โดยเฉพาะจากภาคใต้ที่ต้องการไปยังยุโรป ทั้งที่เป็นสินค้าเดิมที่ปัจจุบันไปถ่ายลำขึ้นเรือแม่ที่ท่าเรือในมาเลเซียและสิงคโปร์ และสินค้าจากนิคมอุตสาหกรรมที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ในพื้นที่

2. สินค้าจากภาคอื่นที่เห็นว่าการขนส่งผ่านท่าเรือระนองเป็นทางเลือกที่ดีกว่าที่เคยผ่านท่าเรือแหลมฉบัง

3. สินค้าจากประเทศอื่นที่จะมาถ่ายลำที่ท่าเรือระนอง ส่วนหนึ่งอาจมาทางบก และอีกส่วนหนึ่งจากเรือลำเลียงเข้าที่ท่าเรือชุมพร เป็นสินค้าจากประเทศอาเซียนที่แย่งมาจากท่าเรือในช่องแคบมะละกา

จากทำเลที่ตั้งของท่าเรือระนองเทียบกับท่าเรือในช่องแคบมะละกา จะเห็นว่า ท่าเรือระนองได้เปรียบกว่าในกรณีสินค้าของประเทศอาเซียนด้านเหนือ เช่น ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม (อย่างไรก็ดี ในอนาคต สินค้าเวียดนามอาจไม่ต้องมาถ่ายลำในแถบนี้ ท่าเรือเวียดนามน่าจะมีปริมาณสินค้ามากพอ กลายเป็นท่าเรือหลักที่เรือแม่จะเข้าเทียบท่าได้)

ส่วนท่าเรือในช่องแคบมะละกาจะได้เปรียบในกรณีของสินค้ากลุ่มประเทศอาเซียนด้านใต้ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และรวมถึงออสเตรเลีย

การวิเคราะห์ข้างต้นสอดคล้องกับบทสรุปของการศึกษาของ Dubai World ในปี ค.ศ. 2009 ที่สรุปว่าแลนด์บริดจ์เส้นทางปากบารา-สงขลา

“ไม่น่าจะดึงดูดปริมาณการขนส่งสินค้าจำนวนมากจากเส้นทางหลักต่าง ๆ ได้ ประกอบด้วย เส้นทางเอเชียตะวันออกไกล-ยุโรป เอเชียตะวันออกไกล-ตะวันออกกลาง ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา-ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออกไกล-อินเดียตะวันตก”

การศึกษายังได้ประมาณการเพื่อในการออกแบบท่าเรือว่า ในปี ค.ศ. 2035 (พ.ศ. 2578) หลังการก่อสร้างท่าเรือและนิคมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเต็มรูปแบบตามแผนแล้ว ท่าเรือฝั่งตะวันออก (สงขลา) และฝั่งตะวันตก (ปากบารา) จะมีสินค้าผ่านแต่ละท่าปีละประมาณ 3 ล้าน TEUs ในจำนวนนี้เป็นสินค้าถ่ายลำข้าม 2 ฝั่งทะเลประมาณ 6 แสน TEUs โดยท่าเรือฝั่งตะวันออกจะรองรับเรือลำเลียงเป็นหลัก ส่วนท่าเรือฝั่งตะวันตกจะรองรับเรือแม่เป็นหลัก

ต่อมา ในปี 2558 สนข. ได้นำเสนอบทสรุปของการศึกษาผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) สำหรับการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ว่า

“รายได้รวมจากการให้บริการขนส่งตู้สินค้าของการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจนั้นไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและการบำรุงรักษา ซึ่งไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน ดังนั้นควรชะลอการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจออกไปก่อน”

อดแปลกใจไม่ได้ว่า เหตุใด เวลาผ่านไป 10 ปี แนวเส้นทางแลนด์บริดจ์เพียงเปลี่ยนจาก ปากบารา-สงขลา เป็น ชุมพร-ระนอง ความคุ้มค่าของโครงการจึงเปลี่ยนจากดำเป็นขาวได้

ภาพประกอบข่าว โครงการ “แลนด์บริดจ์”

รศ.ดร.สมพงษ์ ฝากคำถามให้คิดต่อ 6 เรื่อง ดังนี้

1.ข้ออ้างเรื่องความแออัดในช่องแคบมะละกา : ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่ชัดเจนว่าช่องแคบนี้รองรับเรือได้กี่ลำ และรัฐบาลสิงคโปร์คงไม่ปล่อยให้ช่องแคบเกิดความแออัดจนเป็นปัญหา เพราะช่องแคบนี้สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างยิ่งยวด และถ้าช่องแคบมะละกาเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาแออัด ทำไมรัฐบาลสิงคโปร์ก็ยังกล้าลงทุนกว่า 5 แสนล้านบาท เพื่อสร้างท่าเรือใหม่เพิ่มขีดความสามารถการรองรับสินค้าเป็น 2 เท่าของความสามารถในปัจจุบัน

2.รัฐบาลไม่ต้องลงทุนเอง : แม้โครงการจะไม่คุ้มทุนแล้วไม่มีใครมาลงทุน ประเทศไม่เสียหายอะไรจริงหรือ? ในความเป็นจริง ประเทศต้องเสียต้นทุนไปแล้ว ทั้งงบประมาณในการศึกษาและเวลาของเจ้าหน้าที่รัฐ และต้นทุนทางสังคมที่ประชาชนในพื้นที่ที่จะถูกเวนคืนที่ดินก็ต้องอยู่ในความกังวลตลอดเวลา

3.การลงทุนจากต่างชาติ : อาจมีผู้เสนอลงทุนสร้างท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดเล็กและใช้เงินลงทุนต่ำกว่าที่ สนข. ออกแบบไว้มาก เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน แต่จะขอเวนคืนที่ดินเท่าเดิม เพราะหวังทำรายได้จากการพัฒนาที่ดินเหล่านั้นมากกว่าจากค่าบริการท่าเรือ

4.ความเสี่ยงด้านความมั่นคง : อาจมีนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาโดยไม่ได้หวังผลกำไรทางธุรกิจ แต่หวังผลประโยชน์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ อีกทั้ง การให้สัมปทานที่ดินผืนใหญ่ ความกว้างกว่า 150 เมตรตลอดทั้งแนวระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกเป็นระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตรแบบนี้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศ

ยังมีประเด็นปัญหาหลายประการที่อาจปะทุขึ้นหลังการให้สัมปทาน เช่น รัฐบาลต้องการสร้างทางหลวงหรือรถไฟตัดผ่านที่ดินที่ให้สัมปทานไปแล้ว รัฐบาลจะมีสิทธิทำได้แค่ไหนและต้องทำตามขั้นตอนอย่างไรบ้าง เป็นต้น

5.ข้อเสนอทางเลือกอื่น : แทนที่จะสร้างท่าเรือขนาดใหญ่สำหรับให้บริการสินค้าถ่ายลำ ควรเปลี่ยนมาเน้นสร้างท่าเรือขนาดเล็กลง เพื่อเป็นประตูการค้า (Gateway) สำหรับสินค้าของประเทศไทยไปสู่ตลาดโลกเป็นหลัก

โดยพิจารณาปรับปรุงและขยายท่าเรือระนองและท่าเรือสงขลาที่มีอยู่แล้ว และใช้ประโยชน์จากทางหลวงหมายเลข 4 เชื่อมระหว่างชุมพรกับระนองที่ถูกขยายเป็น 4 ช่องจราจรแล้ว แทนการสร้างทางหลวงพิเศษสายใหม่ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการเวนคืนที่ดินได้มาก

6.เป้าหมายที่แท้จริง : มีการเสนอ พ.ร.บ. เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) โดยอ้างว่ากฎหมายนี้จะช่วยสนับสนุนและดึงดูดการลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ มีความเป็นไปได้ หากกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเอื้อนายทุนผ่านมาตรการจูงใจพิเศษ ลิดรอนสิทธิชุมชนผ่านการยกเว้นกฎหมายปกติหลายฉบับ จะถูกประกาศใช้สำเร็จ

แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่มีใครมาลงทุนสร้างโครงการแลนด์บริดจ์จริง ๆ เนื่องจากโครงการมีความเสี่ยงในการลงทุนสูง จึงอดสงสัยว่าอะไรคือเป้าหมายหลัก และอะไรคือเป้าหมายรอง กันแน่

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ฐานเศรษฐกิจ

กรมอุตุฯ เตือน 12 ส.ค. ฝนถล่มหลายพื้นที่ เสี่ยงน้ำท่วม–น้ำป่า คลื่นลมแรงสูง 2เมตร

56 นาทีที่แล้ว

ราคาทองวันนี้ 12 สิงหาคม 2568 เปิดตลาดราคาทองปรับลดลง 50 บาท

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

พาณิชย์ ดัน พลอยไทยบุกตลาดหรูสวิสฯ ขยายส่งออกผ่านยักษ์ค้าปลีก Migros

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

พาณิชย์ คลอดมาตรการพยุง ลำไย-ข้าว หนุนชดเชย-ลดต้นทุน ดันส่งออกตลาดใหม่

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความสังคมอื่นๆ

เจ้าของใจสลาย คนใจร้ายวางยาเบื่อหมา 8 ตัว บางตัวสิ้นใจต่อหน้า

สยามนิวส์

ฝ่ายค้านกัมพูชา เผยภาพการ์ตูนล้อเลียน ฮุน เซน สะท้อนบทบาทผู้นำ

สยามนิวส์

ลูกชายใครไม่รู้เเต่ดูแล้วซึ้งมาก เปิดคลิปพิเศษ ทหารเเนวหน้า เขียนจดหมายถึงเเม่

สยามนิวส์

หนีความอดอยาก!! แรงงานกัมพูชาลักลอบเข้าเมืองชายแดนสระแก้ว

77kaoded

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ขอเชิญผู้ใช้ Easy Pass สมัครเข้าร่วม กิจกรรม EXAT POWER GREEN Destination 2025 ในวันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2568

สวพ.FM91

เปิดรายได้ พลเอกสรัย ดึก ขุนพลคู่ใจ ฮุนเซน เงินเดือนแรงเกินคาด

สยามนิวส์

สุดช็อก ซินแสพิสดาร รักษาโรคด้วยฝ่าเท้า! อ้างส่งพลังทำหน้าใส

สยามนิวส์

ราคาทองวันนี้ 12 สิงหาคม 2568 เปิดตลาดราคาทองปรับลดลง 50 บาท

ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...