สรรพากรชี้ธุรกิจแผ่ว คาดจัดเก็บรายได้รัฐต่ำเป้า 2.37 ล้านล้าน
นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า สถานการณ์การจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2568 เหลืออีก 3 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ ภาพรวมธุรกิจขณะนี้ยังไม่ดีนัก แต่กรมสรรพากรค่อนข้างมั่นใจว่าจะจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมายประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากมองภาพรวมการจัดเก็บรายได้รัฐปีงบ 68 ที่เป้าหมายรวม 2.37 ล้านล้านบาท อาจจะทำได้ยาก เนื่องจากมีส่วนที่มาจากหน่วยงานภายนอกอื่นๆ ด้วย
นอกจากนี้ การยื่นแบบภาษีนิติบุคคลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) หรือ ภงด.51 ในเดือนส.ค. นี้ ภาพรวมมีทั้งธุรกิจที่ผลดำเนินงานดีและไม่ดี โดยกลุ่มธุรกิจที่ยังทำได้ดี คือ ธุรกิจการเงินบางส่วน และโมเดิร์นเทรด หรือซื้อมาขายไป ขณะที่กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ ได้แก่ ธุรกิจขนส่ง รถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า และธุรกิจน้ำมันและปิโตรเคมี
“ในปีงบประมาณหน้า ยังไม่มีการจัดเก็บภาษีตัวใหม่ในแผนปฏิรูปภาษี เนื่องจากต้องมีการแก้ประมวลรัษฎากร ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย โดยกรมสรรพากรจะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บด้วยการใช้ AI และวิธีทางเทคนิค”
ทั้งนี้ กรมสรรพากรตั้งเป้าว่าจะก้าวสู่การเป็น องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มรูปแบบในปี 2570 เป็นต้นไป เพื่อใช้ AI เป็นเครื่องมือสำคัญในการ ยกระดับการทำงาน การให้บริการ และการบริหารจัดการการจัดเก็บภาษีให้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน สรรพากรได้มีการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในแผนพัฒนาเทคโนโลยี (ไอที) ปี 2568-2570 มีวัตถุประสงค์หลักหลายประการ ได้แก่ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการการจัดเก็บภาษี ให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพ จัดเก็บภาษีได้อย่างเป็นธรรมและโปร่งใส ยกระดับการให้บริการประชาชนหรือผู้เสียภาษี ด้วยบริการที่รวดเร็ว สะดวก และทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล รวมถึง สนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย
“AI จะวิเคราะห์ความเสี่ยงและแนวโน้มการยื่นภาษี เพื่อช่วยในการออกนโยบายที่ตรงเป้าหมาย และประเมินผลกระทบของนโยบายภาษีต่างๆ นอกจากนี้ AI ยังจะช่วย สร้างความโปร่งใสและป้องกันการทุจริต ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสนับสนุนการจัดเก็บภาษีให้มีความเป็นธรรม”
ทั้งนี้ ล่าสุด กรมสรรพากรได้ร่วมลงนามในพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และธนาคารกรุงไทย ดำเนิน 4 โครงการนำร่องที่สำคัญ ได้แก่
1.Tax Assessment AI ใช้ AI ในการกำหนดประเมินภาษีเพื่อให้ถูกต้องแม่นยำ และให้ข้อมูลเชิงลึกสำหรับการวิเคราะห์
2.AI for Big Data ใช้ AI ประมวลผลข้อมูลฐานภาษีขนาดมหาศาล เพื่อวิเคราะห์การเงินและการตรวจสอบภาษี
3.AI for Document Processing นำ AI มาอ่านข้อมูลในเอกสารต่างๆ เช่น ใบกำกับภาษีที่เป็นกระดาษ ให้เป็นข้อมูลดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ลดเวลาการทำงานโดยเจ้าหน้าที่จาก 100 ชั่วโมง เหลือเพียง 6 ชั่วโมง
4.One Portal One Profile โดย AI จะประมวลพฤติกรรมการเสียภาษีของแต่ละบุคคล และสร้างโปรไฟล์เฉพาะตัวสำหรับผู้เสียภาษีแต่ละราย
“โครงการนำร่องทั้ง 4 นี้ แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและเป็นโครงการสนับสนุนที่เน้นการประหยัดเวลาและเพิ่มความถูกต้องของข้อมูลบริการ แต่ก็ได้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ในเชิงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ชัดเจนแล้ว เช่น การลดเวลาประมวลผลและการช่วยให้การคืนภาษีทำได้เร็วขึ้น”
โดย AI จะคัดกรองงานรูทีน ทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบงานสำคัญได้ตรงจุดมากขึ้น ส่วนการตรวจสอบภาษี AI จะช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมธุรกิจและบุคคล เพื่อตรวจสอบได้ตรงเป้าหมาย ลดภาระทั้งกรมฯ และผู้เสียภาษี