มหาเถรฯ สางปมสีกา ก. สั่งเรียกพระแจงด่วน ไม่แจงมีสิทธิ์หลุดตำแหน่ง
วันที่ 13 ก.ค.68 เวลา 13.00น. ที่ตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร มหาเถรสมาคม ประชุมคณะกรรมการฯ ภายหลังเกิดกรณีมีพระชั้นผู้ใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับสีกากอล์ฟ ทั้งเส้นทางการเงินและมีความสัมพันธ์จนถึงขั้นปาราชิก ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนา โดยเมื่อวานนี้ พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้นำหลักฐานคลิปภาพของพระที่เกี่ยวข้องไปมอบให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกายหรือเจ้าคณะปกครอง
โดยมหาเถรสมาคมจะเป็นผู้ดำเนินการออกหนังสือเรียกตัวพระที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมและยังคงหลบหนีมาดำเนินการตามขั้นตอนทางสงฆ์ ซึ่งวันนี้กรรมการมหาเถรสมาคมที่เป็นเจ้าอาวาสจากวัดต่าง ๆ เดินทางเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง
ภายหลังการประชุมประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา ในฐานะ เลขาธิการมหาเถรสมาคม แถลงผลการประชุม โดยเปิดเผยว่าวันนี้เป็นการประชุมวาระพิเศษจึงนิมนต์กรรมการมหาเถรสมาคมมาพูดคุยเป็นการเร่งด่วน โดยการประชุมวันนี้กรรมการมีข้อห่วงใยและมีการอภิปรายอย่างกว้าวขวาง สามารถสรุปได้ 2 เรื่อง เป็นเรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้าและแนวทางป้องกันในอนาคตเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 อาจไม่ทันสมัย รวมถึงกฎระเบียบมหาเถรสมาคมอาจจะต้องปรับปรุงเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน
โดยเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องทำหลังพลตำรวจตรีจรูญเกียรติเข้าพบสมเด็จพระพุฒาจารย์ที่วัดไตรมิตรและได้นำรายชื่อพระที่ปรากฎเป็นข่าวในปัจจุบัน 11 รูป ที่ขอความเมตตาให้คณะสงฆ์ดำเนินการ ซึ่งการดำเนินการมี 2 กรณี กรณีแรก พระ 11 รูป ที่ลาสิกขาไปแล้ว ถือว่าสิ้นสุดสถานภาพการเป็นพระภิกษุ ไม่สามารถดำเนินการทางวินัยได้เพราะสิ้นสภาพการเป็นพระแล้ว หากบุคคลดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับเงินของวัดและมีเส้นทางการเงินที่กระทำผิดทางอาญาก็ให้ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย
ส่วนพระที่ยังไม่สามารถยืนยันสถานะปัจจุบันได้ แบ่งเป็น 2 กรณี คือที่มีภาพปรากฎชัดเจน ที่ลาสิกขาถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระ ส่วนที่ไม่มีภาพแต่มีหนังสือยืนยันสมัครใจลาสิกขาก็ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระ
ส่วนที่ยังไม่ยืนยันสถานะ กรรมการมหาเถระสมาคมได้มอบหมายคณะใหญ่แต่ละหนที่ปกครองดูแลให้ทำหนังสือเรียกตัวพระที่ปรากฎรายชื่อมาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะผู้ปกครองสงฆ์ หากไม่มาตามระยะเวลาที่กำหนดถือว่าละทิ้งหน้าที่ ก็จะต้องดำเนินการตามกฎของมหาเถระสมาคม ทั้งพักการปฏิบัติหน้าที่หรือถูกปลด ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง เพราะถือว่ากระทำต่อวินัยพระอย่างร้ายแรง
และขณะนี้กรรมการฯ มีความห่วงใยในพยานหลักฐานในการจะเอาผิดทางพระธรรมวินัย จะต้องมีพยานหลักฐานเพื่อนำมาตั้วงคณะกรรมการพิจารณาโทษ คณะสงฆ์จึงได้ให้สำนักงานพระพุทธศาสนา ประสานกับตำรวจขอเอกสารหลักฐานที่ปรากฎและขอความร่วมมือให้ตำรวจนำหลักฐาน ภาพ คลิป ส่งให้เจ้าคณะใหญ่ที่มีพระอยู่ในปกครองโดยตรงเพื่อจะได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ซึ่งพระที่ยังไม่ยืนยันสถานะตอนนี้เหลืออยู่ 5 รูป ที่จะต้องให้มารายงานตัว ส่วนที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวัดก็ต้องขอความอนุเคราะห์ตำรวจส่งหลักฐานมาประกอบการพิจารณาทางพระธรรมวินัย
สำหรับพระที่ปรากฎคลิปหลักฐานเกี่ยวข้องแบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มแรกลาสิกขาแล้ว 6 รูป คืออดีตพระเทพวชิรปาโมกข์หรือเจ้าคุณอาชว์ อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพ อดีตพระเทพวชิวธีรคุณ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ อดีตพระเทพวชิรธีราภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระพุทธฉาย จ.สระบุรี อดีตพระครูปลัดสุรพล อดีตเจ้าคณะ ต.บางระกำ จ.พิษณุโลก อดีตพระมหาบุญเลิศ ช่วยธานี อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดใหม่ยายแป้น อดีตพระครูสิริวิริยธาดา อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม วรมหาวิหาร ซึ่งทั้งหมดถือว่าสิ้นสุดกระบวนการเจ้าคณะผู้ปกครองแล้ว
กลุ่มที่ 2 ยังไม่ยืนยันสถานะและยังไม่ทราบว่าปัจจุบันยังเป็นพระหรือไม่เพราะยังติดต่อไม่ได้ ซึ่งการจะยืนยันสถานะจะต้องมีภาพปรากฎและยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร มี 2 รูป คือ วัดกัลยาณมิตรฯ และวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก ซึ่งจะต้องทำหนังสือคำสั่งเรียกตัวมาชี้แจงข้อเท็จจริง
กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่ยังเป็นพระภิกษุ 2 รูป คือพระเทพปวีเมธี วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และพระเทพวัชรสิทธิเมธี วัดท่าหลวง จ.พิจิตร ซึ่งทั้ง 2 รูปนี้มหาเถระสมาคมมีมติขอความร่วมมือตำรวจได้ส่งรูปหลักฐานให้เจ้าคณะใหญ่หนกลางและเจ้าคณะใหญ่หนเหนือโดยตรง
ส่วนกลุ่มที่ 4 คือพระเทพวัชราภรณ์ วัดชูจิตธรรมาราม จ.พระนครศรีอยุธยา ยังเป็นพระอยู่แต่ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสและลาออกจากตำแหน่งประธานสำนักงานพระปริยัติศึกษาแล้ว โดยมหาเถระสมาคมได้มีคำสั่งแต่งตั้งผู้รักษาการแทนไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว ทั้งนี้มหาเถระสมาคมขอความร่วมมือการเสนอรูปและชื่อที่ถูกต้องกับสื่อมวลชน
ส่วนจะมีพระรูปอื่นเกี่ยวข้องกับสีกากอล์ฟอีกหรือไม่ ขณะสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม โดยทั้ง 11 รูป พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ได้นำรายชื่อถวายให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ จึงได้นำเรื่องมาหารือเร่งด่วนในวันนี้
ส่วนกรณีพระที่ลาสิกขาแล้วจะต้องคืนพัดยศด้วยหรือไม่ รองศาสตราจารย์ชัชพล ไชยพร รักษาราชการแทน ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ระบุว่าหากมีการลาสิกขาแล้วย่อมพ้นจากการเป็นพระภิกษุ ดังนั้นสมณศักดิ์ย่อมขาดโดยอัตโนมัติ รวมถึงราชทินนามก็ไม่สามารถใช้ได้เพราะผิดกฎหมายอาญา และพัดยศจะต้องส่งคืนทั้งหมด
กรณีที่สังคมอยากให้มีกฎหมายมาควบคุมพฤติกรรมของพระภิกษุสงฆ์ เหมือนในบางประเทศที่มีการบังคับใช้ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา ระบุว่าเนื่องจาก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มีมาตั้งแต่ปี 2505 ผ่านไป 60 ปี สถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนไปเยอะ มหาเถระสมาคมมีความเห็นให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตั้งคณะทำงานมาศึกษาเรื่องนี้เพื่อปรับปรุง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและทันสมัย สามารถบังคับใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันได้ ส่วนจะมีกรอบระยะเวลาในการแก้ไขกฎหมายหรือไม่ ยืนยันว่าจะต้องดำเนินการเร่งด่วนที่สุดโดยจะยกร่างคณะทำงานขึ้นมาก่อนและให้อำนาจหน้าที่ เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากในอดีตอาจมีเรื่องติดขัดหลายอย่าง แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นวิกฤตที่ต้องแก้ไขเชิงโครงสร้าง ดังนั้นจะต้องขันน็อตให้เกิดการบังใช้กฎหมายและการปฏิบัติจริงให้มีความรวดเร็ว รัดกุม และมีประสิทธิภาพ
การดำเนินคดีตาม ม.157 สามารถใช้ได้อยู่แล้ว ซึ่งพระสังฆาธิการถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมายอาญา ก็จะต้องรับความผิดทั้งส่วนของพระธรรมวินัย และกฎหมายอาญา ส่วนกรณีที่มีการลาสิกขาแล้วก็ถือว่ามีความผิดตาม ม.157 เช่นกัน เพราะความผิดสำเร็จตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่ง ส่วนการลาสิกขาเป็นการสิ้นปัญหาทางพระธรรมวินัย
ด้านรองศาสตราจารย์ชัชพลเปิดเผยว่าการประชุมเถรสมาคมวาระพิเศษ ที่ประชุมมีมติ มหาเถรสมาคมน้อมรับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชให้ดำเนินการโดยเร่งด่วน โดยมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐที่มีข้อมูลและพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดของภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
มหาเถรสมาคมมีหน้าที่ธำรงรักษาพระธรรมวินัยและจริยาของคณะสงฆ์ หากความปรากฏว่ารูปใดต้องอาบัติปาราชิกถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัยและต้องสละสมณเพศตามกฎหมายโดยทันที ส่วนในกรณีที่แม้อาบัติยังไม่ถึงขั้นปาราชิกแต่มีความร้ายแรงรองลงมา เช่น อาบัติสังฆาทิเสสทั้ง 23 ข้อ หากผู้ต้องอาบัตินั้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการหรือเป็นผู้ได้รับสมณศักดิ์ เมื่อความปรากฏหรือกระบวนการนิคหากรรมพิสูจน์แล้วว่าต้องอาบัติดังกล่าว แม้จะยังคงสถานะภิกษุอยู่ก็ถือว่าเสื่อมเสียอย่างร้ายแรง มหาเถรสมาคมจะดำเนินการปลดจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ทุกรูปและจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชาธานุญาตถสมนศักดิ์ต่อไป
ในระยะเร่งด่วนเฉพาะหน้า เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ตั้งแต่ระดับเจ้าคณะใหญ่ จนถึงเจ้าอาวาสตลอดจนพระวินยาธิการ ต้องสำนึกในหน้าที่และทำตามหน้าที่ให้สมกับตำแหน่งที่ดำรงอยู่ โดยให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับดำเนินการตรวจสอบ ดูแล และกำกับพฤติกรรมของพระภิกษุในปกครองอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎระเบียบ คำสั่ง มติคณะสงฆ์ และพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช หากปรากฎพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายละเมิดพระธรรมวินัยให้เร่งดำเนินการสอบสวนตามกฎมหาเถรสมาคมโดยมิชักช้าแล้วรายงานต่อมหาเถรสมาคมโดยเร็ว
นโยบายกรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ กรณีพระภิกษุกระทำความผิดทางพระธรรมวินัย หากปรากฏว่ามีมูลหรือเข้าข่ายละเมิดพระวินัย ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ตามลำดับชั้นออกคำสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน เพื่อประโยชน์แก่การดำเนินการตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย และเป็นหน้าที่ของมหาเถรสมาคมและพระสังฆาธิการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 24-27 โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะเป็นผู้รับผิดชอบในการประสานงานและสนับสนุนการดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนที่มิใช่เจ้าคณะพระสังฆาสังมาธิการตำแหน่งหน้าที่ปกครอง หรือมิใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยกิจการพระพุทธศาสนาและการคณะสงฆ์ แต่พบเห็นพยานหลักฐานหรือพฤติการณ์ กรณีพระภิกษุกระทำความผิดทางพระธรรมวินัย และมีกุศลเจตนาต่อการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ เข้าบูรณาการความร่วมมือกับเจ้าคณะพระสังมาธิการ พระวินยาธิการ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนทางพระธรรมวินัย กฎหมายและกฎมหาเถรสมาคม
ในกรณีที่ยังไม่มีคำพิพากษา การลงโทษตามกระบวนการนิคหกรรมหรือหลักฐานยืนยันความผิดอย่างชัดเจน ทั้งตามกฎหมายบ้านเมืองและพระธรรมวินัย พึงระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชน และสาธารณะชนด้วยเหตุที่ผู้ถูกกล่าวหาย่อมถูกสันนิษฐานว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะต้องคำพิพากษาหรือคำตัดสินว่ากระทำความผิด รวมถึงให้เร่งปรับปรุงกลไกการทำงานเชิงบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปอย่างเข้มงวด รวดเร็ว รอบคอบ และรัดกุม โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต้องทำหน้าที่เป็นหน่วยประสานหลักระหว่าง คณะสงฆ์ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับพระภิกษุผู้ถูกกล่าวหา ชอบด้วยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำหน้าที่รับเรื่องราว ประมวลข้อมูล ข้อเท็จจริง พร้อมเสนอแนวทางการดำเนินการต่อมหาเถรสมาคมเพื่อประกอบดำริในการตรากฎหมาย กฎระเบียบ ออกคำสั่ง หรือมีมติหรือนำความกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช เพื่อขอประทานพระวินิจฉัย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ประกาศเตือนฉบับ 7 พายุถล่ม 33 จังหวัด เสี่ยงน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก
ปปป.จ่อขอเส้นทางการเงิน 4 วัดดัง เข้าข่ายยักยอกเงินวัดโอนให้สีกา ก.
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : มหาเถรฯ สางปมสีกา ก. สั่งเรียกพระแจงด่วน ไม่แจงมีสิทธิ์หลุดตำแหน่ง
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com