กระทุ้งรัฐเกียร์ว่าง ยื่นศาลปกครองเดินหน้าแก้เหมืองโปแตช
กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เตรียมยื่นฟ้องศาลปกครองหลังการแก้ไขปัญหาผลกระทบเหมืองโปแตชในพื้นที่ไม่คืบ พบหน่วยงานรัฐหลายหน่วยเพิกเฉย – เกียร์ว่าง ขณะที่นักวิชาการฟื้นฟูเหมืองตอกหน้าหงาย “กพร.”เปลี่ยนแปลงวิธีการทำเหมืองต้องทำอีไอเอใหม่หรือไม่
29 มิ.ย.2568 – กลุ่มประชาชนในนาม นักปกป้องสิทธิฯกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด จ.นครราชสีมา นัดรวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดให้ชี้แจงปมการใช้ระเบิดในการดำเนินการเหมืองโปแตชในพื้นที่ อ.ด่านขุนทด ก่อนจะมีการประชุมที่สำนักกรมชลประทานเขต 8 ของคณะทำงานตรวจสอบผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่โปแตชที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตำบลหนองไทร ตำบลหนองบัวตะเกียด ตำบลโนนเมืองพัฒนา อำเภอด่านขุนทด ซึ่งมีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ตัวแทนนักวิชาการ และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเป็นคณะทำงาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดได้ผลัดกันขึ้นปราศรัยพร้อมกับระบุถึงข้อมูลที่ได้จากการประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนรวมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภคว่ากระทรวงมหาดไทยได้มีการออกใบอนุญาตให้ซื้อ มี ใช้ และย้าย วัตถุระเบิดแก่บริษัทเหมืองแร่โปแตชครั้งแรกในปีพ.ศ. 2559 และข้อมูลจากนายสถิตย์ กาศขุนทด ปลัดอำเภอด่านขุนทดได้เป็นตัวแทนนายอำเภอด่านขุนทดลงมาชี้แจงข้อมูลพร้อมระบุว่า มีการใช้ระเบิดในการทำเหมืองบางส่วนจริงและระเบิดส่วนที่เหลือได้มีการทำลายทิ้งแล้ว ซึ่งเป็นเวลากว่า 9 ปี ที่ชาวบ้านถูกปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
ซึ่งจากการประชุมรวมกับคณะกรรมาธิการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐหน่วยงานไหนชี้แจงเรื่องนี้อย่างชัดเจนเราจึงต้องการคำตอบที่ชัดเจนในวันนี้
จากนั้นกลุ่มฯได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อยู่รับหนังสือเนื่องจากติดภารกิจ โดยได้มีการส่งเจ้าหน้าที่จากศูนย์ดำรงธรรม จ.นครราชสีมา มาเจรจากับกลุ่ม ฯ โดยยืนยันว่า จะมีการประสาน ไปยังฝ่ายปกครองของจังหวัด ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมคณะทำงานตรวจสอบผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่โปแตช เพื่อชี้แจงข้อมูลเรื่องระเบิดอย่างแน่นอน
ผู้สื่อช่าวรายงานบรรยากาศการประชุมที่ห้องประชุม 119 ปี สำนักชลประทานที่ 8 อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยมี สุรพันธ์ ศิลปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาเป็นประธาน
ซึ่งก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการนักปกป้องสิทธิฯกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดได้ยื่นหนังสือขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชี้แจงกรณีบริษัทไทยคาลิ จำกัด ได้รับอนุญาตให้ซื้อ มี ใช้ และย้ายวัตถุระเบิด โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาในฐานะประธานในที่ประชุมเข้ารับหนังสือของกลุ่มฯและแจ้งว่าวันนี้จะมีตัวแทนมาชี้แจงในเรื่องนี้เป็นวาระแรก
จากนั้นนายคณัสชนม์ ศรีเจริญ ปลัดจังหวัดนครราชสีมา ได้ชี้แจงในประเด็นเรื่องการใช้ระเบิดโดยบางช่วงบางตอนของการชี้แจงระบุว่า กรณีการขออนุญาตซื้อ มีใช้ ขนย้ายระเบิดของบริษัทไทยคาลิ ตามข้อมูลเอกสารหลักฐานที่ปรากฏ เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่พ.ศ. 2558 โดยมีหนังสือหลักฐานเรื่องการขอ มี ใช้และการเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิด ต่อมามีการอนุญาตให้ใช้เมื่อปี 2559 ซึ่งมีอุปกรณ์ระเบิดอาทิ ดินระเบิด ชนวน โดยเฉพาะดินระเบิดรวมกว่า 58,600 แท่งเพื่อใช้ในการขุดเจาะและก่อสร้างอุโมงค์แนวดิ่งอุโมงค์แนวลาดเข้าสู่ชั้นแร่ในโครงการเหมืองแร่โปแตชในพื้นที่ตำบลหนองไทร ตำบลหนองบัวตะเกียด อ.ด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา
ต่อมามีการแจ้งขนย้ายวัตถุระเบิดจากจ.สระบุรี มาที่บริษัทไทยคาลิ จ.นครราชสีมา แต่สุดท้ายมีรายงานว่าไม่มีการใช้ระเบิดจำนวนนี้ บริษัทไทยคาลิ ได้แจ้งขออนุญาตให้หน่วยงานทหารโดยมณฑลทหารบกที่ 21 ทำการควบคุมทำลายระเบิดทั้งหมด ที่ ม.4 ต.หนองไทร อ.ด่านขุนทด ฉะนั้นตามการคาดเดาตามความเห็นส่วนตัว เมื่อมีการแจ้งจำนวนระเบิดที่ใช้ กับการแจ้งการทำลายที่เท่ากันฉะนั้นตามการคาดหมายตามความเห็นส่วนตัว ก็อาจจะไม่มีการใช้วัตถุระเบิดในปีดังกล่าว
ภายหลังการชี้แจงของปลัดจังหวัดนครราชสีมา ปราณี ทองอุไร ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดซึ่งพื้นที่ทำกินได้รับผลกระทบจากเหมืองโปแตชในพื้นที่ต.หนองไทรสอบถามว่า ที่บอกว่าระเบิดได้มีการขนย้ายมาตั้งแต่ปี.พ.ศ 2559 แต่ในปีนั้นได้มีการทำเหมืองแล้ว ถ้าไม่มีการใช้ระเบิดเลยทำไมเหมืองต้องขนย้ายระเบิดออกในปี พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นการขนออกหลังจากที่น้ำท่วมอุโมงค์ไปแล้ว และถ้าทำลายในพื้นที่ ม.4 ของตำบลหนองไทร
“อยากถามว่าทำลายตรงไหนในพื้นที่ ทั้ง ๆ ที่บอกว่าไม่มีการใช้ระเบิด บ้านของอยู่ใกล้กลับเหมืองทุกครั้งที่นอนจะมีการสั่นสะเทือนของบ้านและบ้านทรุดตัวด้วย มีน้ำผุดและทำให้ระบบน้ำใต้ดินพังทลายถ้าบอกว่าไม่ใช้ระเบิดแล้วมันเกิดจากอะไร” ปราณี ระบุ
ขณะที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ต้องการขอทวนข้อมูลเรื่องจำนวนตัวเลขระเบิดการขอและการถูกทำลายเพราะจากที่ฟังการชี้แจงในเรื่องของตัวเลขยังมีความกำกวมพอสมควร ซึ่งประธานในที่ประชุมได้แจ้งให้ปลัดจังหวัดนครราชสีมาส่งเอกสารที่นำมาชี้แจงทั้งหมดให้กับคณะกรรมการภายใน 7 วัน
ด้านจุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด สอบถามว่านอกจากปี 2559 ยังมีปีอื่นอีกหรือไม่ที่เขาได้รับอนุญาตให้ใช้ระเบิดเพราะที่ผ่านมาเราถามถึงปีล่าสุดกลายเป็นว่าเราถูกปกปิดข้อมูล กลายเป็นหากไม่ถามก็จะไม่มีการตอบเลยว่ามีการใช้ระเบิดเกิดขึ้นในพื้นที่ และบริษัทขอใช้ได้อย่างไรในเมื่อไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ เกี่ยวกับการใช้ระเบิดในอีไอเอฉบับแรกเมื่อปี 2556 ทำไมสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ถึงสามารถคำนวณออกให้ใช้ได้ทั้ง ๆที่ไม่มีมาตรการป้องกันผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
ปลัดจังหวัดนครราชสีมาชี้แจงเพิ่มเติมในประเด็นนี้อีกว่า หลังจากปี 59 ก็ไม่ได้มีการขออีกเลย จนมาถึงปัจจุบันปี 2568 มีการขอเข้ามาและทางอำเภอได้ตรวจสอบการขอของบริษัทไทยคาลิเป็นไปตามระเบียบและคุณสมบัติที่กำหนดไว้ว่าผู้ขอสามารถขอได้หรือไม่ก็ส่งเรื่องไปที่จังหวัด และจังหวัดก็ได้พิจารณาคำขอและได้ทำหนังสือขอเสนอเรื่องต่อไปยังกระทรวงมหาดไทยให้พิจารณาต่อไป เพราะอำนาจในการอนุมัติให้มีการใช้โดยตรงคืออำนาจของปลัดกระทรวงมหาดไทย
ขณะที่ กุมพล รามรังสฤษฎ์ ผู้อำนวยการสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (ผอ.สรข.6) กล่าวชี้แจงบางช่วงบางตอนว่า ตนเองไปดูข้อมูล มีข้อมูลเขต 6 อนุมัติอนุญาตไปจริง แต่ตอนนั้นตนเองไม่ทราบว่าเหตุผลกลใดถึงมีการอนุญาตไปเพราะท่านก็เกษียณไปแล้ว หลังจากปี 58 จนได้รับอนุญาตในปี 59 บริษัทได้มีการยื่นขอครั้งที่ 2 ซึ่งในการยื่นขอครั้งที่ 2 ทาง สรข.6 ก็มีความเห็นว่าการขอวัตถุระเบิดมันไม่ถูกต้องตามตามแผนผังโครงการทำเหมือง ซึ่งกำหนดไว้ว่าไม่ให้ใช้และมาตรการป้องกันผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมก็กำหนดไม่ให้ใช้ สรข.6 ในวันนั้นคือวันที่ 3 พ.ค. 60 ก็ได้เห็นควรไม่อนุญาตให้ใช้วัตถุระเบิด ต่อมาอีก 2 วันท่านผอ.สมัยนั้นก็ได้ทำหนังสือแจ้งไปว่าหากผู้ถือประทานบัตรมีความต้องการจะใช้วัตถุระเบิดก็ไปขอแก้ไขแผนผังโครงการทำเหมืองและขอเปลี่ยนรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อยให้ถูกต้องเสียก่อน ดังนั้นมีการขอใช้ระเบิดแค่ครั้งเดียว
ด้านบำเพ็ญ ไชยรักษ์ นักวิชการผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูเหมืองปนเปื้อนถามย้ำว่า เป็นการแค่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยและปรับปรุงแผนผังการทำเหมืองไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงวิธีการทำเหมืองใช่หรือไม่ ตนเองอยากรู้ให้ชัดเจนว่าเปลี่ยนแบบใช้รถเจาะ กับเปลี่ยนมาใช้ระเบิดใช่วิธีเปลี่ยนแปลงวิธีการในการทำเหมืองหรือไม่ตนเองอยากรู้เพราะเป็นสาระสำคัญ
“เพราะถ้าเปลี่ยนแปลงวิธีการทำเหมืองจะต้องทำอีไอเอใหม่หรือไม่ ถ้าเพียงเปลี่ยนแค่ย้ายอุโมงค์ไม่ได้ว่าอะไร แต่อันนี้มีการย้ายอุโมงค์และเปลี่ยนจากการใช้รถขุดมาใช้ระเบิดมันใช่การเปลี่ยนแปลงการทำเหมืองหรือไม่” บำเพ็ญ ระบุ
ขณะที่ จงดี มินขุนทด ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด กล่าวย้ำอีกว่า ท่านบอกการเปลี่ยนแปลงแผนผังการทำเหมืองใหม่ไม่ต้องทำอีไอเอใหม่ ถ้าอย่างนั้นหากเหมืองบอกว่าเหมืองทำตามมาตรฐานอีไอเอสรุปอีไอเอมีมาตรฐานตรงไหนเชื่อได้หรือไม่ถ้าอย่างนั้นจะมีอีไอเอไว้ทำไม ท่านบอกว่าการเปลี่ยนแปลงแผนผังโดยการย้ายจุดไปทำอุโมงค์แนวดิ่งที่ใหม่โดยใช้ระเบิดแล้วจะบอกว่าไม่ต้องแก้ไขอีไอเอแบบนั้นคุณจะเอาอีไอเอมาอ้างมาตรฐาน มันมีมาตรฐานตรงไหน เอามาตรฐานตรงนั้นมากางกันดูว่าปัจจุบันเหมืองปฏิบัติตามอีไอเอหรือไม่
ภายหลังจากหารือประเด็นเรื่องข้อเท็จจริงกรณีการใช้ระเบิดอย่างย่างนาน ที่ประชุมได้มีมติให้ปลัดจังหวัดนครราชสีมาส่งเอกสารทุกอย่างที่รายงานให้กับคณะทำงานภายใน 7 วัน และหลังจากทุกฝ่ายศึกษาข้อเท็จจริงจากเอกสารเพิ่มเติมแล้วจะนำมาหารือใหม่ในการประชุมครั้งถัดไป
ต่อมาที่ประชุมได้เข้าสู่วาระการรายงานผลการวิเคราะห์การตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน น้ำใต้ดิน และการตรวจพิสูจน์พื้นดินทรุดบริเวณพื้นที่ประกอบกิจการเหมืองแร่โปแตช ซึ่งผลของการรายงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความแตกต่างกันทั้งหมด 17 จุดที่ทำการเก็บตัวอย่างน้ำดิน ทำให้ที่ประชุมได้ขอข้อมูล Baseline data หรือ ข้อมูลพื้นฐานของพื้นที่ก่อนการทำเหมืองมาประกอบการพิจารณา เพราะจะทำให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจน ซึ่งประเด็นนี้ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดได้แจ้งในที่ประชุมว่าได้เคย ทำการขอไปนานกว่า 1 ปี แต่ก็ยังไม่ได้รับข้อมูลนี้แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามตัวแทนกพร.แจ้งในที่ประชุมว่า จะส่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในช่วงแรกคือปี 2560 กับปี 2561 ก่อนประกอบด้วย ในส่วนของดิน น้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน คาดว่า ประมาณ 2 อาทิตย์ ซึ่งกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ไม่เห็นด้วยที่ทางกพร.และทางกรมทรัพยากรน้ำใต้ดิน จะนำข้อมูล baseline data ปีใหม่ๆมาใช้ เนื่องจากเหมืองดำเนินการเมื่อปี 2558 และอยากให้เทียบเคียงกับข้อมูลใน EIA จะดีที่สุด หรือใช้ข้อมูลปีที่ลึกกว่านั้น โดยเฉพาะปีก่อนที่จะมีการทำเหมือง พร้อมเสนอในที่ประชุม ระหว่างรอข้อมูล Baseline data อยากให้มีการยุติการใช้ระเบิดเปิดอุโมงค์เหมืองรอบ 2 ที่ดอนหนองโพธิ์ก่อน เพราะขณะนี้ชาวบ้านเดือดร้อนอย่างหนักจากผลกระทบที่มีอยู่เดิมและที่สำคัญ ผลกระทบจากการทำเหมืองรอบเก่า ยังไม่มีการเยียวยาใดๆเลย
สำหรับการพิจารณาในประเด็น กองทุนฟื้นฟูพื้นที่ทำเหมือง โดยตัวแทนจากเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมเขต6 ชี้แจงว่า กองทุนนี้ตามกฎหมายจะเกิดขึ้นภายใน 90 วันนับตั้งแต่บริษัททำเหมืองได้รับประทานบัตร ซึ่งกองทุนนี้จะนำไปจ้างผู้เชี่ยวชาญ 3 คนประกอบด้วย วิศวกร นักธรณี และนักสิ่งแวดล้อม มาตรวจสอบการทำเหมืองปีละ 4 ครั้ง โดยให้ผู้มีส่วนได้เสียที่อยู่ในพื้นที่ประธานบัตรจะเป็นผู้เลือก ซึ่งเงินกองทุนนี้จะมาจากบริษัททำเหมือง ที่จะให้กรมอุตสาหกรรมและการเหมืองแร่เป็นผู้ถือไว้โดยบริษัททำเหมืองต้องทำการจ่าย 4 งวด /ปี โดยโรงงานที่ทำเหมืองนี้จะมีทั้งหมด6กองทุน แต่เมื่อดูแล้วในเบื้องต้นไม่มีกองทุนนี้ ยอมรับว่า ผู้มีสิทธิตรวจสอบรวม 3 คนจะหมดวาระวันที่ 27 มิ.ย.2568 นี้
จากการชี้แจงนี้ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดแย้งว่า กองทุนนี้ผู้มีส่วนได้เสียคือชาวบ้านอย่างเราที่อยู่ในพื้นที่ประทานบัตร มี่ผ่านมา ไม่เคยรับรู้ไม่เคยมีส่วนร่วมในเรื่องนี้เลย ทราบเพียง มีกำนันในพื้นที่ 3 คน เป็นผู้มีสิทธิตรวจสอบ ถามว่า กำนัน 3 คนนี้ใครเป็นคนเลือก มีใบคุณวุฒิอะไร มีใบประกอบวิชาชีพอะไร
ที่ผ่านมาไม่เคยมีการประชาสัมพันธ์ให้รับรู้อะไรเลย ทั้งเรื่องคุณสมบัติใช้คุณวุฒิอะไร มีวาระกี่เดือนกี่วัน ชาวบ้านมารู้อีกทีก็หมดวาระพรุ่งนี้แล้ว พร้อมกันนี้นักปกป้องสิทธิฯกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ได้แจ้งที่ประชุม ขอผลการตรวจสอบของผู้ที่มีสิทธิตรวจสอบนี้ด้วยว่ามีผลการตรวจสอบอย่างไร เบื้องต้น ขอให้ส่งมาที่คณะทำงานฯเพื่อความโปร่งใสด้วย
ในส่วนประเด็นเรื่องการฟื้นฟูเยียวยาเนื่องจากรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ประชุมใช้เวลาหารือในเรื่องนี้เป็นเวลานาน โดยมีบางส่วนที่น่าสนใจในการพูดคุยประเด็นนี้บางส่วนดังนี้ เมื่อปี พ.ศ.2544 ได้มีการกำหนดเรื่องการฟื้นฟูอุโมงค์แนวเอียงไว้ โดยกำหนดว่าผู้ประกอบการสามารถยื่นขอฟื้นฟูอุโมงค์แนวเอียงได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุมัติอนุญาติจากสำนักนโยบายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
ตัวแทนจากสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) กล่าวว่า ประเด็นเรื่องการฟื้นฟูกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ต้องเสนอแผนมาให้พิจารณาเห็นชอบเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูมาก่อนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเล่มรายงานการเปลี่ยนแปลงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมฉบับเก่า ถ้าสผ.เห็นชอบก็จะแจ้งกลับไปที่ผู้ประกอบการแล้วหน่วยงานที่จะอนุมัติคือ กพร. เมื่อโครงการมีความประสงค์ที่จะฟื้นฟูอุโมงค์แนวราบเดิมหลังจากได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมแล้วให้โครงการยื่นแผนฟื้นฟูประกอบกับ นีคือมาตรการที่อยู่อีไอเอ เขาต้องขอความเห็นชอบจากสผ.ก่อนถึงทำการฟื้นฟูได้ เพราะตอนนี้แผนผังโครงการทำเหมืองให้ผลิตแร่จากอุโมงค์แนวดิ่งไม่ได้ให้ใช้อุโมงค์แนวราบถ้าแผนผังกำหนดอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น
บำเพ็ญ ไชยรักษ์ นักวิชการผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูเหมืองปนเปื้อน ถามย้ำว่า แบบนี้แสดงว่าบริษัทยังไม่มีความประสงค์ที่จะทำการฟื้นฟูเพราะเขายังไม่มีแผน แสดงว่าอุโมงค์จะถูกทิ้งร้างไว้แบบนั้นจนกว่าเขาประสงค์จะฟื้นฟูเขาถึงจะมีแผนส่งไปที่สผ.เราไม่มีมาตรการในการบังคับให้เขาฟื้นฟูในระหว่างนี้ใช่หรือไม่เพราะเราตั้งข้อสันนิษฐานกันว่ามันเป็นต้นเหตุของการกระจายของน้ำเค็ม
“ดิฉันเป็นห่วงว่าถ้าเราปล่อยไว้จนกว่าเขาจะฟื้นฟูเมื่อไหร่เขาจะประสงค์ฟื้นฟู เลยอยากทิ้งโจทย์ไว้ว่าเรามีกฎหมายเหมืองแร่ใต้ดิน เมื่อปี 2545 มันมีกองทุนหนึ่งที่พูดเรื่องของการฟื้นฟูและสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเกิดจากเหมืองใต้ดินแน่นอน ถ้าเกิดผลกระทบใดๆเกิดขึ้นนี่คือส่วนของกฎหมาย” บำเพ็ญ ระบุ
กุมพล รามรังสฤษฎ์ ผู้อำนวยการสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (ผอ.สรข.6) กล่าวว่าที่เรามอนิเตอร์ติดตามผลต่างๆ ค่าเหล่านี้ที่เราประมวลผลออกมา มันเกิดมีความผิดปกติคิดว่าอุโมงค์ตรงนี้เกิดความแพร่กระจาย สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน ตรงนี้ให้ทราบไว้เลยว่าส่วนตัวตนเองก็กล้าที่จะสั่งให้เขาฟื้นฟูและดำเนินการได้ทันที แต่วันนี้ค่าต่างๆ มันไม่ได้บ่งชี้แบบนั้น ในความเข้าใจเป็นสเตเบิ้ลอยู่ แต่ถ้าเขาจะฟื้นฟูมันไม่มีปัญหาในอุโมงค์นี้ยังไงเราต้องสั่งให้เขาฟื้นฟูให้เสร็จก่อนสิ้นประทานบัตรอยู่แล้ว
พิริยากร ดีขุนทด นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด โต้ว่า ถ้าอุโมงค์แรกมันไม่ได้สร้างความเดือดร้อนไม่อย่างนั้นมันจะส่งผลกระทบมาที่ตนเองและครอบครัวมากขนาดนี้ได้อย่างไร เหมืองแร่มาทำ 10 ปี ผืนดินชุมชนเราแทบล่มสลาย ถ้าเราอนุมัติให้เขามาขุดอุโมงค์โดยการใช้ระเบิดแล้วมันจะอยู่กันได้อย่างไร ถ้าเหมืองแร่ไม่ทำแล้วเกลือจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ด้านสุธีรา เปงอินทร์ ตัวแทนจาก Protection International หนึ่งในคณะกรรมการฯกล่าวว่า ถ้ารอความจริงทั้งหมดคนที่เดือดร้อนที่สุดคือประชาชนในพื้นที่หน่วยงานรัฐเองควรจะมีหน้าที่ทำสิ่งที่เกิดขึ้นไปก่อนก็เห็นว่าทั้งน้ำดินเค็มปลูกพืชไม่ได้ ถ้ารอการพิสูจน์ที่ใช้เวลานานหน่วยงานรัฐเองก็จะไม่ได้ฟันธงไปเลยว่าความผิดพลาดหรือความเค็มที่มันเกิดขึ้นมันมาจากเหมืองหรือไม่หน่วยงานรัฐก็ไม่กล้าฟันธงทั้ง ๆ ที่เราตั้งคณะกรรมการมาเป็นปีๆ แล้ว และก่อนหน้านี้เราก็ได้ร้องเรียนและตรวจสอบผลการดำเนินการก็ไม่ได้ไปไหนแล้วประชาชนก็ต้องมารออีก ทำไมรัฐไม่รีบลุกขึ้นมีมาตรการฟื้นฟูเพื่อช่วยประชาชนในพื้นที่มากกว่ารอผลการตรวจอย่างเดียว
ขณะที่จงดี มินขุนทด ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดกล่าวว่า คำถามนี้ต้องอยู่ที่กพร.ท่านบอกว่ามีเหตุผลอะไรที่บอกได้ว่ามีผลกระทบจากเหมืองเพราะท่านยืนยันว่าผลไม่ได้มีเหตุปัจจัยมาจากเหมือง ตอนนี้กพร.เอาเหตุผลหรือตัววัดตัวไหนที่บอกว่าไม่มีค่าเปลี่ยนแปลงที่เป็นนัยสำคัญจากเหมืองดังนั้นหากเราคุยกันแบบนี้ไม่จบ
กุมพล รามรังสฤษฎ์ ผู้อำนวยการสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (ผอ.สรข.6) กล่วว่า ตนเองขอชี้แจงเรื่องBaseline data ใช้งานได้แน่นอนส่วนเรื่องที่คุณจงดีกล่าวมานั้นตนเองอยากได้ข้อเท็จจริงมากตนเองมีอำนาจเสนอท่านอธิบดีกระทรวงอุตสาหกรรมให้เหมืองหยุดได้เลยตนเองพร้อมใช้อำนาจเต็มที่ แต่การใช้อำนาจต้องอยู่บนข้อเท็จจริง ตนเองรู้ว่าคุณจงดีต้องการอะไรหากไม่มีมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนมาให้ตนเองพิจารณาจะทำได้อย่างไร อยากให้หน่วยงานมาเวิคราะห์ข้อมูลที่เราตรวจสอบมาแล้วมาฟันธงให้เรา ตนเองต้องการข้อเท็จจริง
ขณะที่ จงดี กล่าวว่า “พี่จะหาข้อเท็จจริงให้ผม ผมต้องการแบบนี้” ข้อความที่ท่านบอกเราว่ามันยังไม่มีเหตุนัยยะใดๆเกิดขึ้นจากเหมือง เปิดเผยออกมาเลยว่าก่อนที่ท่านอนุญาตมา น้ำบริเวณนี้ 10 จุด น้ำใต้ดิน 10 จุดมันไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตอบตรงนี้มาเลย แต่ตอนนี้ 10 ปี การเปลี่ยนแปลงเกิดเกลือหนาเป็นนิ้วๆ ยังมาบอกว่าผมต้องการข้อมูลที่ชัดเจนจะเอาชัดขนาดไหนเพราะเกลือธรรมชาติบ้านไหนไม่เคยขึ้นหนาเป็นนิ้วขนาดนี้ แล้วคำพูดที่บอกว่า “ พี่หาข้อมูลมาให้ชัดเจน” แต่กรมฯ ย้ำทุกครั้งว่า ไม่ได้เกิดขึ้นจากเหมือง กรมฯ เอาตัวไหนมาวัดว่าน้ำที่หนองไทรมันเค็มมาแล้ว ตอนนี้มาบอกว่า “ผมมีอำนาจ พี่หาหลักฐาน พี่หาหลักฐานมาสิ” พวกเราเกิดมา 50 ปี เกลือที่ไหนบ้านไหนมีมั้ยที่ผลึกหนาเป็นนิ้วสองนิ้วได้ ตนเองไม่ใช่นักวิชาการแต่ถ้ามีโอกาสแล้วได้ย้อนกลับไปเรียนใหม่จะเรียนด้านนี้แล้วจะเป็นคนที่กล้าที่สุดที่จะแสดงการคัดค้านเหมืองตั้งแต่แรก
“เรามืผืนดินแค่ตรงนั้นอาศัยอยู่ตรงนั้นความเค็มมันแพร่กระจายอยู่ทุกวัน จะพังเหมือนตึกสตง.เมื่อไหร่ไม่รู้ คุณไม่ได้อยู่ตรงนั้น คุณมีตำแหน่ง มีสวัสดิการเป็นข้าราชการมีเงินเดือนกิน แต่เราอยู่ตรงนั้นถ้าผืนดินปลูกอะไรกินไม่ได้ใช้อะไรไม่ได้เราก็จะตายเหมือนกับแหล่งคลองลำมะหลอด เหมือนกับต้นไม้ที่ยืนต้นตายเพราะความเค็ม” จงดี ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ระบุ
ภายหลังจากประชุมนานร่วม 4 ชั่วโมงที่ประชุมได้ปิดประชุมลงในเวลา 18.00 น. โดยที่ประชุมจะนัดประชุมอีกครั้งหลังจากรายงานการประชุมเสร็จสิ้นและหน่วงานรัฐส่งเอกสารหลักฐานที่คณะกรรมการร้องขอเสร็จสิ้น
จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชและที่ปรึกษากลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดเปิดเผยหลังประชุมเสร็จสิ้นว่า จากการประชุมร่วมคณะทำงานฯในครั้งนี้ แม้จะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่สิ่งที่เราได้ก็คือ เรื่องการใช้ระเบิดที่พบว่ามีการใช้จริง มีการอนุมัติให้ใช้จริงๆในตอนนั้นคือปี 2559 ซึ่งขณะนี้เรากำลังขอหนังสืออยู่ว่าระเบิดที่ขออนุญาตมีการใช้ไปหรือไม่ อย่างไรก็ตามการขออนุมัติไปแล้ว ถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานรัฐต้องรับผิดชอบในส่วนนี้ไป ส่วนการประชุมคณะทำงานฯ การที่หน่วยงานรัฐมาให้ข้อมูล เราพบว่ามีการให้ความหมายว่าพบโซเดียมคลอไรด์ หรือ เกลือ มาจากแหล่งเดียวกัน จึงขึ้นอยู่กับทางภาครัฐว่าจะมีความจริงใจแค่ไหนในการแก้ไขปัญหา
“หากภาครัฐยังคงยืนยันว่า ไม่มีผลกระทบจากการทำเหมือง จากนี้การทำเหมืองก็ไม่ควรมีอีกต่อไป การจุดเหมืองรอบใหม่ก็ไม่ควรเกิดขึ้น สิ่งที่รัฐต้องทำก็คือ ไปชดเชยค่าเสียหายเยียวยาให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งฟื้นฟูสภาพแวดล้อม ไม่ใช่แค่ทำผักชีโรยหน้าด้วยการปลูกต้นไม้ การประชุมครั้งนี้อาจไม่ได้ตามที่หวัง แต่เราพอได้ทิศทางแนวทางที่ชัดเจนขึ้น มีวิธีเดียวเพื่อให้เกิดความยุติธรรมคือการฟ้องศาลปกครอง เนื่องจากภาครัฐเพิกเฉย แล้วผลักภาระเรื่องนี้มาให้กับเรา เราจึงจำเป็นต้องเดินหน้าในส่วนกระบวนการยุติธรรมต่อไป " จุฑามาส ระบุ.