“ภูมิธรรม” ย้ำ จุดยืน ต้องการเห็นความจริงใจเขมร หลัง คุย “ทรัมป์”
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลัง นายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ยื่นข้อเสนอให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิงโดยอ้างมาตรการทางภาษี โดยระบุว่า หลังจากได้รับการประสานว่า โดนัล ทรัมป์ จะคุยด้วย ตนได้มีการเชิญให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ,รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าฟัง และได้มีการสอบถามทางกองทัพบกไปด้วย การหารือครั้งนี้จึงเป็นการหารือบนพื้นฐานของการทำงานร่วมกันของทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยสิ่งที่ได้คุยกันทั้งหมด ไม่ได้มีเพียงสหรัฐอเมริกาเพราะก่อนหน้านี้นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนได้โทรหาตน โดยเฉพาะเมื่อวานนี้ได้มีการพูดคุยในลักษณะเดียวกันคืออยากเห็นสันติภาพเกิดขึ้นเพราะเป็นห่วงพลเรือน และห่วงการสูญเสีย
สำหรับการพูดคุยเราได้เริ่มตนเล่าให้ฟังว่าที่ผ่านมาเรายืนยันในหลักสันติภาพและการเจรจาเพื่อขอให้แยกออกจากกันมาตลอด การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ อยากเห็นการหยุดยิง และสันติภาพ ตนก็ยืนยันว่าเราทำมาตลอดแต่สิ่งที่สำคัญก็ได้เล่าต่อว่ามีการยิงเข้ามาพื้นที่พลเรือน โดยไร้เป้าหมายทางทหาร ส่วนเรามีการตอบโต้ไปในฐานเป้าหมายทางทหารและปืนยุทธวิถีจรวดที่เป็นฐานที่ยิงเข้ามาทำลายประชาชน รวมทั้งมีการรายงานว่าพลเรือนไทยมีการเสียชีวิตประมาณ 15 คนและบาดเจ็บกว่า 50 คน และมีการอพยพกว่า 130,000 คน ซึ่งในฐานะผู้พิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังได้มีการสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดอพยพในทุกจุด
ขณะที่นายโดนัล ทรัมป์ เองเห็นว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นความรุนแรงที่เขาไม่ประสงค์อยากจะเห็น ซึ่งเราก็เห็นตรงกัน แต่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ให้ความเห็นว่าหากยังไม่หยุดยิงก็ไม่สามารถเจรจาทำการค้ากับทั้งสองประเทศได้ ซึ่งตนได้ยืนยันว่าไม่มีปัญหาเพราะเป็นไปตามหลักการอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามยืนยันว่า เงื่อนไขของเราคือต้องการให้เขมรสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนไทย ไม่ใช่การว่ายอมหรือไม่ยอมแต่เรายึดถือประชาชนเป็นหลัก ซึ่งการพูดคุยเป็นไปด้วยดีและหลังจากนี้ก็จะรับเงื่อนไขไปเจรจากับกัมพูชาต่อไป
อย่างไรก็ตามนายภูมิธรรมระบุว่าเงื่อนไขของเราขณะนี้ไม่ได้ต้องการให้ประเทศที่3เข้ามาแทรกแซง แต่ขอบคุณ ที่ห่วงใย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาต้องไปพูดคุยเงื่อนไข ให้จบว่าจะมีมาตรการอย่างไรในการที่จะหยุดยิงและถอยกำลังทหารออกรวมไปถึงยุทโธปกรณ์วิถีไกล
ส่วนจะมีการพูดคุยกับกัมพูชาเมื่อไหร่นั้นนายภูมิธรรมระบุว่า หากวันนี้นัดได้ก็จะมีการพูดคุยในช่วงประมาณเที่ยง แต่ช่วงเช้าวันนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะลงพื้นที่ ร่วมกับตนไปที่จังหวัดตราด ซึ่งเป็นจุดที่เปิดยุทธการใหม่ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเราจะคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาให้จบก่อน
นายภูมิธรรม ขอให้ประชาชนคลายกังวล โดยทราบดีว่าเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก และประชาชนได้รับผลกระทบโดยเฉพาะประชาชนตามแนวชายแดน ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นจากการกระทำของกัมพูชาที่เราได้ประณาม ไปแล้วว่าเป็นอาชญากรรม ระหว่างประเทศที่มีการทำร้ายพลเรือนซึ่งผิดข้อกฎหมายระหว่างประเทศทั้งหมด พร้อมย้ำว่า ชีวิตของคนชายแดนคือสิ่งที่รัฐบาลคำนึงถึงมาโดยตลอด
นายภูมิธรรมยังเน้นย้ำโซเชียลให้ระมัดระวังอย่างยิ่ง เรื่องการเผยแพร่ภาพ โดยเฉพาะปัญหายุทธการด้านกองทัพและไม่เป็นประโยชน์ต่อเรา จึงต้องขอความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์ของประเทศ และความปลอดภัยของทหารแนวหน้า เพราะหากเขายิ่งรู้การมุ่งเป้าทำลาย ฐานทหาร ซึ่งเสี่ยงกับชีวิตทหาร
วันนี้ต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องโกลาหล ในขณะที่เรา ก็ได้เตรียมการบ้างแล้วซึ่งเราก็พยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ โดยทั้งหมดได้มีการปรึกษาหารือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและได้ให้อำนาจกับทหาร เป็นแนวหน้าให้สามารถดำเนินการได้ อย่างกรณีที่จังหวัดจันทบุรีและตราดที่ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินซึ่งทางผู้บัญชาการทหารบกได้หารือมาและเราก็เห็นชอบ และอนุมัติ จึงอยากให้ทุกฝ่ายมั่นใจและเชื่อมั่นว่าทั้งหมดมีการทำงานประสานงานกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและคำนึงถึงสิทธิประโยชน์คำนึงถึงชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกคนและทหารแนวหน้าทั้งหมด
เมื่อถามต่อว่าหากการเจรจายังไม่ลงตัวจะยังไม่มีสัญญาณหยุดยิงใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่าทหารของเราจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่จนกว่ารัฐบาลจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าเป็นภัยต่อพี่น้องประชาชนและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ เพื่อนำไปสู่สันติภาพ โดยขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ทำงานประสานกับทุกส่วน โดยทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าอยากให้ปัญหายุติ
ส่วนความไว้ใจต่อกัมพูชานั้น นายภูมิธรรมระบุว่าตนได้ยืนยันต่อนายโดนัท ทรัมป์ ไปแล้ว ต้องทำให้เรามั่นใจ ว่าสิ่งที่ทำจะไม่มีการบิด เพราะฉะนั้นการเจรจา หยุดยิงพร้อมกับการเคลื่อนย้ายกำลังทหารและอาวุธร้ายแรงออกจากพื้นที่เดิมขณะนี้จะเป็นหลักประกันที่แสดงถึงความจริงใจว่าอยากหยุดยิง เพราะเราเคยประกาศมานานแล้วเรื่องการหยุดยิงแต่กัมพูชาเพิ่งประกาศว่าอยากหยุดยิงแต่พูดเสมอว่าเราเป็นฝ่ายรุกราน แต่อย่างไรก็ตามการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้คุยกับนานาประเทศ รวมถึงสื่อ ต่างประเทศก็ค่อนข้างเสนออย่างชัดเจนแล้วว่า ว่ากัมพูชาเป็นฝ่าย รุกรานก่อน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำคือการปกป้องอธิปไตย ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินประชาชนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ อย่างเคร่งครัด
ส่วนเรื่องภาษี ที่สหรัฐจะประกาศใช้วันที่1สิงหาคมนี้ หลังจากที่ได้พูดคุยกันแล้วเมื่อวาน ได้ข้อสรุปอย่างไรต่อ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ไม่มีปัญหา เมื่อเริ่มหยุดยิงเมื่อไหร่ ก็จะแจ้งให้ทราบ เรื่องภาษีนั้นใช้กับทั้ง2ประเทศ เมื่อวานเขา(สหรัฐ)ก็ได้พูดว่าตรงนี้ไม่ต้องห่วง และเชื่อว่าการหยุดยิงเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกและเห็นว่าจะช่วยปกป้องพลเรือนได้ เราก็บอกก็ฝากเรื่องนี้ด้วยแล้วกัน และตนก็บอกไปอีกว่า เป็นฝ่ายที่ยืนยันตรงนี้มาตลอด พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนต่อนานาชาติว่าเราเป็นฝ่ายรักสันติ สิ่งที่เราทำคือการปกป้องอธิปไตยของเรา ที่ต้องการปกป้องชีวิตและพลเรือนของไทย สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็พร้อมเจรจา และเราก็ขอให้เขาดูสิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ
ก็ถามว่าถ้าคุยกันรู้เรื่องน่าจะทันวันที่1 สิงหาคมนี้หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ตนยังไม่สามารถพูดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะอยู่ที่ฝ่ายกัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาได้แสดง ให้เรามั่นใจว่า ต้องการหยุดยิงจริงๆ สำหรับเรานั้นพร้อมเจรจาอยู่ตลอดภายใต้เงื่อนไข เมื่อหากเราพูดคุยกันเสร็จเราก็ต้องปรึกษาหารือกับกองทัพอีก เพราะขณะนี้ สิ่งที่กัมพูชาเปิดแนวรบ ตลอด 800 กม. นี้ ตั้งแต่ที่ช่องบก ลงมาจนถึง จ.ตราด ก็คือตลอดแนวชายแดนทั้งหมดอยู่แล้วเพราะฉะนั้น ถึงแม้จะหยุดยิง หรือประกาศอย่างไร ก็จะต้องมีเงื่อนไขที่คุยกันในรายละเอียดว่า จะเคลื่อนออกอย่างไร
ส่วนแนวโน้มเรื่องภาษีสหรัฐนั้น นายภูมิธรรม มองว่า น่าจะไปในทิศทางบวก เพราะจากการที่ทางประธานาธิบดีสหรัฐพูดกับตนว่า แนวโน้มนี้สำหรับเรา2ประเทศ ตนก็บอกกับเขา บนพื้นฐานที่เราเป็นมิตรกับทุกประเทศ ซึ่งเราขอบคุณมาเลเซีย จีน และสหรัฐอเมริกาด้วยที่ ยื่นมือเข้ามาด้วยความห่วงใยชีวิต ประชาชนพลเรือน ทั้งหมดก็ขอขอบคุณทุกส่วน และเขาได้เจรจากับเราอย่างไรก็สามารถที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงได้มากขึ้น และมีความห่วงใย เข้าใจเรา ขณะที่ในต่างประเทศจะเห็นได้ว่า การประชุมคณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องนี้ ทุกคนก็ไม่ได้มีอะไรเพียงแต่ขอให้พูดคุยกัน ก็เข้าใจเรา โดยก็ต้องขอบคุณสหรัฐอเมริกาด้วยที่อยากให้เรื่องนี้ยุติลง และเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย