ดร.ปิติ สับแหลก จม.ทรัมป์ ฉบับที่ 2 ถึงไทย ไร้มารยาท ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ!
ดร.ปิติ สับแหลกจดหมาย “ทรัมป์” ฉบับที่ 2 ถึงไทย “ไร้มารยาท-ไม่จริงใจ” ชี้ซ่อนเป้าหมายทหาร-บีบเปิดตลาด!
กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกรณีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับไทย เมื่อรศ.ดร. ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างดุเดือดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (FB/Piti Srisangnam) ต่อจดหมายฉบับที่ 2 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ส่งถึงประเทศไทย โดยระบุชัดว่าจดหมายดังกล่าว “ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ ไม่มีธรรมเนียมและพิธีการทูต” และเต็มไปด้วยความ “ไม่จริงใจ” พร้อมเตือนให้รัฐบาลไทยจับตาเป้าหมายแอบแฝงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
จดหมายที่ไร้มารยาททางการทูตและข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย
ดร.ปิติ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงเนื้อหาในจดหมายของผู้นำสหรัฐฯ ที่มีปัญหาในหลายมิติ ทั้งในด้านรูปแบบและเนื้อหา โดยชี้ให้เห็นว่า ภาษาที่ใช้ขาดความเป็นทางการ ซึ่งสะท้อนถึงการไม่ให้เกียรติและไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูตที่มีต่อกัน
ในด้านเนื้อหา จดหมายดังกล่าวได้ กล่าวหาชาติอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยว่ามีนโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นสาเหตุให้สหรัฐฯ ต้องขาดดุลการค้าและเสียผลประโยชน์มหาศาล แต่ ดร.ปิติ ยืนยันว่าข้อกล่าวหานี้ ไม่มีหลักฐานหรือข้อเท็จจริงรองรับ
โดยเฉพาะตัวเลข 36% ที่สหรัฐฯ อ้างถึง ก็ไม่มีที่มาที่ไปที่สามารถพิสูจน์ได้ในทางวิชาการ พร้อมทั้งย้ำว่า สาเหตุที่แท้จริงของการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ นั้น มาจาก ความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ เองที่ตกต่ำลง ไม่ใช่เพราะมาตรการกีดกันทางการค้าของไทยซึ่งไม่ได้สูงอย่างที่ถูกกล่าวหา
เปิดเป้าหมายแฝง! หวัง “เปิดตลาดไม่มีเงื่อนไข” และผลประโยชน์ทางทหาร
นอกเหนือจากประเด็นการค้า ดร.ปิติ ยังแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อเป้าหมายที่ซ่อนอยู่ โดยมองว่าการที่สหรัฐฯ ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขการเจรจาที่ชัดเจน แต่เลือกใช้วิธีสร้างความคลุมเครือ ก็เพื่อหวังจะบีบให้ไทยยอม “เปิดตลาดอย่างไม่มีเงื่อนไข” (Total Access) ในท้ายที่สุด
ที่น่าจับตามองยิ่งกว่านั้น คือ เป้าหมายแอบแฝงในมิติทางการทหารและความมั่นคง รวมถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจที่อาจเอื้อให้กับเครือข่ายที่ใกล้ชิดกับคณะผู้บริหารระดับสูงของสหรัฐฯ
ข้อเสนอถึงไทย: ตั้ง “War Room” และหาตลาดใหม่สู้
ท่ามกลางแรงกดดันนี้ ดร.ปิติ ได้เสนอแนวทางการรับมืออย่างเร่งด่วนสำหรับประเทศไทย ดังนี้
1. เจรจาด้วยมิติความมั่นคง
เมื่อสหรัฐฯ อ้างเรื่องสงครามภาษีเป็นประเด็นความมั่นคง ไทยก็ต้องใช้มิติความมั่นคงเข้าเจรจา โดยใช้แต้มต่อจากการเป็นพันธมิตรที่ยาวนานและที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ
2. ตั้ง “War Room” เพื่อผลประโยชน์ชาติ
ไทยจำเป็นต้องจัดตั้ง “ห้องบัญชาการ” หรือ War Room ที่ระดมสมองจากทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงต่างๆ, กองทัพ, นักวิชาการ และสื่อมวลชน เพื่อวางยุทธศาสตร์โดยยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง
3. เตรียมพึ่งพาตนเองและหาตลาดใหม่
ถึงเวลาที่ไทยต้องเตรียมพร้อมพัฒนาตนเองเพื่อทำการค้าโดยไม่ต้องพึ่งพาสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว ควบคู่ไปกับการแสวงหาโอกาสทางการค้าและการลงทุนในตลาดใหม่อย่างจริงจัง และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น
4. ระวังการถูกผลักไปหาขั้วอำนาจอื่น
ดร.ปิติเตือนว่า หากสหรัฐฯ ยังคงกดดันไทยอย่างรุนแรง อาจเป็นการผลักให้ไทยจำยอมต้องหันไปใกล้ชิดกับขั้วมหาอำนาจอื่นโดยปริยาย
สถานการณ์ล่าสุด นายพิชัย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบุคคลสำคัญในแวดวงเศรษฐกิจ ได้ย้ำว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ ยังคงเก็บภาษีไทยในอัตรา 10% และรัฐบาลไทยกำลัง เร่งเดินหน้าเจรจาต่อรองอย่างเต็มที่ เพื่อลดผลกระทบดังกล่าวก่อนที่มาตรการจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมที่จะถึงนี้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ภาษีทรัมป์ กระทบไทยหนัก เสี่ยงตกงานอื้อ-ขายหุ้นยับ แนะทางรอดก่อนปิดดีล 9 ก.ค.
- เทียบดีลภาษีสหรัฐฯ ไทย-เวียดนาม ใครเจ็บ ใครได้เปรียบ เกมการค้าทรัมป์
- ศิริกัญญา ชี้ ไทยเสียเปรียบ ภาษีทรัมป์ เหตุเจรจาล่าช้า ข้อเสนอเสี่ยงสูง
อ้างอิง : Piti Srisangnam