Apple ขยายความสำเร็จถึงโลกภาพยนตร์ ด้วย 'F1: The Movie'
Apple บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก ได้พยายามขยายธุรกิจเข้าอุตสาหกรรมบันเทิงด้วยการเปิดตัวแพลตฟอร์มสตรีมมิง Apple TV+ เมื่อปี 2019 พร้อมดึงผู้อำนวยการสร้างและนักแสดงชื่อดังมาสร้างสรรค์ซีรีส์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่อง รวมถึงเปิดตัวแผนกภาพยนตร์ เรียกว่า Apple Original Films พร้อมกัน และมี ‘CODA’ (2021) เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของบริษัทที่คว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ล่าสุด Apple ได้ส่ง ‘F1: The Movie’ ภาพยนตร์ระดับบล็อกบัสเตอร์ทุนสร้าง 300 ล้านเหรียญ เข้าสู่โรงภาพยนตร์ทั่วโลกเมื่อสุดสัปดาห์ระหว่างวันที่ 27 – 29 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จด้านรายได้อย่างน่าประทับใจด้วยการทำรายได้วันแรกในสหรัฐฯ ไปกว่า 20 ล้านเหรียญ และทำรายได้ 3 วัน ไปถึง 57 ล้านเหรียญ
นอกจากนี้ยังทำรายได้จากตลาดต่างประเทศไปสูงถึง 89.3 ล้านเหรียญ ซึ่งส่งผลให้ ‘F1: The Movie’ ทำรายได้รวมทั่วโลกสุดสัปดาห์แรกไปถึง 146.3 ล้านเหรียญ
ก่อนหน้านี้ Apple Original Films ได้ทุ่มทุนมหาศาลในโปรเจกต์ฟอร์มยักษ์ของผู้กำกับชื่อดังมากมาย แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้เท่าไร ดังนี้
- ‘Killers of the Flower Moon’ (2023) ของ มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) : ทำรายได้ทั่วโลกสุทธิ 158.8 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ
- ‘Napoleon’ (2023) ของ ริดลีย์ สกอตต์ (Ridley Scott) : ทำรายได้ทั่วโลกสุทธิ 221.4 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ
- ‘Argylle’ (2024) ของ แมทธิว วอห์น (Matthew Vaughn) : ทำรายได้ทั่วโลกสุทธิ 96.2 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ
- ‘Fly Me to the Moon’ (2024) : ทำรายได้ทั่วโลกสุทธิ 42.3 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ
จากรายได้เปิดตัวระดับโลกที่น่าประทับใจ ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ‘F1: The Movie’ อาจทำรายได้ทั่วโลกสุทธิได้ถึงหลัก 500 – 600 ล้านเหรียญ ซึ่งหากผ่านหลัก 517 ล้านเหรียญ ก็จะกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่สร้างผลกำไรให้กับ Apple เนื่องจากมีรายงานว่าตัวภาพยนตร์ได้รับการลดหย่อนภาษีและได้รับเงินช่วยเหลือจากสปอนเซอร์จำนวนมาก ซึ่งทำให้ทุนสร้างจริง ๆ นั้นอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านเหรียญ และมีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านเหรียญ
Apple นั้น ได้ให้เทคนิคทางการตลาดมากมาย ในการโปรโมต ‘F1: The Movie’ เช่น ปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์พิเศษบน Apple TV+ ที่สามารถสร้างแรงสั่นสอดคล้องกับฉากต่าง ๆ เพื่อโชว์ศักยภาพของ Haptic Engine ใน iPhone หรือออกแบบกล้องพิเศษจากชิ้นส่วนกล้อง iPhone สำหรับติดตั้งใน Cockpit แทนกล้องถ่ายทอดสด สำหรับเก็บภาพมุมมองของนักแข่งอย่างสมจริง เพื่อโชว์ศักยภาพการบันทึกวิดีโอ ProRes แบบไฟล์ LOG ที่สามารถนำมาปรับแต่งสีระดับมืออาชีพในภายหลังได้ เป็นต้น