5 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ ไฟหน้า ที่ยังทำอยู่แต่อาจจะเกิดปัญหาร้ายแรง
เวลาที่เราเห็นแสงน้อยลงเราก็ต้องเปิดไฟเพื่อให้สามารถมองเห็นได้เช่นเดียวกัน รวมถึงรถยนต์ หากเวลากลางคืนเราก็เปิดไฟหน้า แต่ด้วยความที่รถสมัยใหม่มีฟีเจอร์เยอะจนทำให้เราลืมเปิดไฟหน้าได้เช่นเดียวกัน รอบนี้ Sanook Auto รวม 5 เรื่องที่เกี่ยวกับไฟหน้า ที่ยังเข้าใจผิด และส่งผลร้ายกว่าที่คุณคิด มีเรื่องอะไรเรามาดูกัน
5 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับไฟหน้า ที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิดมานาน
1. เข้าใจผิดว่า "ไฟ DRL (Daytime Running Lights)" ใช้แทนไฟหน้าตอนกลางคืนได้
เรื่องแรกคือ รถยนต์รุ่นใหม่หลายคันมีไฟ DRL ที่สว่างจ้าในเวลากลางวัน ทำให้ผู้ขับขี่บางคนคิดว่าไฟเหล่านี้เพียงพอสำหรับการขับขี่ในที่มืด หรือพลบค่ำแล้ว จึงละเลยการเปิดไฟหน้าหลัก ความจริงคือ ไฟ DRL มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการมองเห็นรถของคุณในเวลากลางวันเท่านั้น ไม่ได้ให้ความสว่างเพียงพอสำหรับส่องทางในเวลากลางคืน และที่สำคัญ ไฟ DRL มักจะเปิดเฉพาะด้านหน้า ทำให้ไฟด้านท้ายรถไม่ติดมืดสนิท ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งเมื่อขับขี่ในที่มืด เพราะรถที่ตามมาอาจมองไม่เห็นรถของคุณ ทำให้เสี่ยงต่อการชนท้ายสูงมาก
2. เข้าใจผิดว่า "ไฟตัดหมอก" ใช้แทนไฟหน้าได้ในทุกสถานการณ์
บางครั้งผู้ขับขี่บางคนนิยมเปิดไฟตัดหมอกหน้าในเวลากลางคืน โดยเฉพาะในเมืองที่คิดว่าให้ความสว่างเพียงพอแล้ว หรือบางรายอาจเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลาแม้สภาพอากาศปกติ ความจริงและ ไฟตัดหมอกออกแบบมาเพื่อให้ความสว่างในระยะใกล้ และกระจายแสงในมุมกว้าง เพื่อช่วยในการมองเห็นเมื่อมีทัศนวิสัยไม่ดี เช่น ฝนตกหนัก หมอกลงจัด หรือมีควันหนาแน่น การเปิดไฟตัดหมอกในสภาพอากาศปกติ โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่ไม่มีหมอก จะทำให้แสงไฟแยงตาผู้ขับขี่คนอื่นที่สวนทางมาอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดอันตรายและสร้างความรำคาญใจอย่างมาก
3. คิดว่า "เปิดไฟสูง" ตลอดเวลาดีกว่าเพื่อการมองเห็นที่ชัดเจนที่สุด
เวลาที่หลายคนขับรถและมองไม่เห็นเลยเปิดไฟสูง จนทำให้เปิดไฟค้างไว้ และเชื่อว่ามองเห็นแน่นอน แต่ความจริงที่ร้ายแรงค การเปิดไฟสูงขณะมีรถสวนทาง หรือขับตามหลังรถคันอื่น จะทำให้แสงไฟไปแยงตาผู้ขับขี่เหล่านั้น ทำให้มองไม่เห็นทางชั่วขณะ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้เสมอ ควรเปลี่ยนเป็นไฟต่ำทันทีเมื่อมีรถคันอื่นเข้ามาในระยะสายตา และอาจจะทำให้ตาล้าจนเกิดอุบัติเหตุได้
4. คิดว่า "ไฟหน้าอัตโนมัติ (Auto Headlights)" ทำงานได้สมบูรณ์แบบ 100%
รถยนต์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่ มีระบบไฟหน้าอัตโนมัติที่เปิด-ปิดเองตามสภาพแสง ผู้ขับขี่จึงวางใจและไม่เคยตรวจสอบการทำงานของระบบเลยแต่ ความจริง แม้ระบบไฟหน้าอัตโนมัติจะสะดวกสบาย แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100% เสมอไป บางครั้งอาจมีปัจจัยที่ทำให้เซ็นเซอร์ทำงานผิดพลาด เช่น
เซ็นเซอร์สกปรกหรือถูกบดบัง ฝุ่นละออง โคลน หรือหิมะที่เกาะอยู่บนเซ็นเซอร์แสง อาจทำให้ระบบเข้าใจผิดว่ายังมีแสงสว่างเพียงพอ
สภาพแสงที่ซับซ้อน เช่น การขับรถออกจากอุโมงค์ที่มืดเข้าสู่บริเวณที่มีแสงจ้า หรือขับผ่านใต้ต้นไม้ใหญ่บ่อยๆ ระบบอาจใช้เวลาในการปรับตัว
พลบค่ำหรือรุ่งอรุณ ในช่วงเวลาที่แสงเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว ระบบอาจยังไม่ทำงานทันที ทำให้เกิดช่วงเวลาที่ไฟหน้ายังไม่ถูกเปิดใช้งาน
ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบแผงหน้าปัดเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าไฟหน้าได้เปิดใช้งานแล้ว โดยเฉพาะในสภาพแสงที่ก้ำกึ่ง
5. ละเลยการปรับ "ระดับไฟหน้า" ให้เหมาะสมกับการบรรทุกหรือการใช้งาน
ผู้ขับขี่หลายคนไม่เคยสนใจปุ่มปรับระดับไฟหน้า (Headlight Leveling) ซึ่งมักอยู่บริเวณแผงหน้าปัดด้านคนขับ และปล่อยให้ตั้งค่าไว้ที่ตำแหน่งเดิมตลอดเวลา เพราะเข้าใจว่ามองเห็นไกลดี ความจริง เมื่อรถมีการบรรทุกสัมภาระหนัก หรือมีผู้โดยสารจำนวนมากท้ายรถ ท้ายรถจะจมลง ทำให้หน้ารถเชิดขึ้น และลำแสงไฟหน้าจะพุ่งสูงขึ้นไปแยงตาผู้ขับขี่ที่สวนทางมาอย่างมาก การปรับระดับไฟหน้าลง (ลดลำแสงลง) จะช่วยให้ลำแสงไม่สูงเกินไป ทำให้ไม่รบกวนผู้ใช้ถนนคนอื่น และยังคงให้การส่องสว่างที่เหมาะสมกับเส้นทาง
ดังนั้น ในการใช้ไฟหน้ารถอย่างถูกต้องไม่ใช่เพียงเรื่องของกฎจราจร แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยสำหรับตัวคุณเองและเพื่อนร่วมทางทุกคน การทำความเข้าใจและใช้งานระบบไฟรถยนต์อย่างถูกวิธี จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อย่างมหาศาล อย่าละเลยเรื่องเล็กน้อยที่อาจนำไปสู่ผลร้ายแรง! ได้เช่นเดียวกัน สุดท้ายควรลองอ่านคู่มือประจำรถและปรับใช้ให้เหมาะสมดว้ยตรั