โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ มองเศรษฐกิจไทย จากผลกระทบภาษีทรัมป์ 19%

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า อัตราภาษี 19% ที่สินค้าส่งออกไทยถูกจัดเก็บเป็นอัตราใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียน

จึงทำให้สินค้าไทยในตลาดสหรัฐอเมริกายังคงแข่งขันได้ดี และต้องแสวงโอกาสในการเข้าไปทดแทนสินค้าส่งออกจากประเทศลาว เมียนมาและอินเดียที่ถูกจัดเก็บในอัตราภาษีที่สูงกว่าไทยมาก

อย่างไรก็ตาม การเร่งนำเข้าสินค้าส่งออกจากไทยในช่วง 5-6 เดือนของปีนี้และอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ตัวเลขส่งออกในช่วงที่เหลือของปีชะลอตัวลงแต่ไม่ติดลบ โดยคาดการณ์ว่าทั้งปีอัตราการขยายตัวของส่งออกไทยจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 5%

ไทยควรทำข้อตกลงการค้าเสรีเพิ่มเติมกับประเทศต่างๆ ที่เป็นประตู (Gateway) สู่การค้าของภูมิภาคต่างๆทั่วโลก และ ใช้ประโยชน์จากการทำข้อตกลงเอฟทีเอกับเปรูในการเจาะตลาดละตินอเมริกามากขึ้น

ไทยสามารถเป็นศูนย์กลางความมั่นคงทางด้านอาหารและสามารถขยายตลาดส่งออกไปยังตะวันออกกลางผ่านข้อตกลงการค้าเสรีที่ไทยทำกับบาห์เรนได้

นอกจากนี้ ควรเร่งรัดเจรจาเอฟทีเอกับอียู และ แคนาดาเพื่อเพิ่มโอกาสให้กับตลาดส่งออกไทยการขยายขอบเขตข้อตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอที่ไทยทำไว้แล้วกับประเทศต่างๆ ให้ครอบคลุมการค้าบริการและภาคการลงทุนเพิ่มขึ้น ก็ควรเป็นยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างประเทศของไทยด้วย

การเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้าในอัตราใกล้เคียงกัน ทำให้ภาษีไม่ใช่ตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางการเคลื่อนย้ายการลงทุนของบรรษัทข้ามชาติ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ

ความมีเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่คงเส้นคงวาเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางการลงทุนของต่างชาติ

ส่วน อัตราภาษีสวมสิทธิ หรือ อัตราภาษีสำหรับสินค้า Transshipment 40% กระทบสินค้าส่งออกจีนหนัก ขณะเดียวกันจะทำให้สินค้า Re-Export ในไทยมีแนวโน้มลดลง โดยผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมีจำกัดเพราะสินค้าเหล่านี้มีผลต่อมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจน้อยมาก

อย่างไรก็ตาม การเจอกับอัตราภาษีสูงของสินค้าสวมสิทธิ์จากจีน จะทำให้มีการขายสินค้าดังกล่าวมายังตลาดไทยและตลาดภูมิภาคเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตภายในต้องเตรียมรับมือสินค้าถูกจากจีนทะลักอีกระลอกหนี่ง

การเปิดตลาดให้สหรัฐอเมริกา มีอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯมายังไทย 0% จำนวนหมื่นรายการนั้น มีผลกระทบจำกัด เพราะส่วนหนึ่งเป็นสินค้าที่ไทยไม่ผลิตหรือผลิตไม่พอ

ส่วนที่จะกระทบจะเป็นสินค้าที่เราผลิตแล้วแข่งขันไม่ได้ ซึ่งก็ต้องมีมาตรการในการยกระดับขีดความสามารถแข่งขันเพิ่มขึ้นพร้อมลดต้นทุนการผลิต

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ประเมินและคาดการณ์ผลกระทบของความขัดแย้งไทยกัมพูชาต่อตลาดแรงงานและแรงงานกัมพูชาในไทย ดังนี้

แรงงานกัมพูชาในประเทศไทยเป็นแรงงานข้ามชาติกลุ่มใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในภาคเกษตรกรรม ก่อสร้าง อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร และบริการ โดยมีจำนวนตัวเลขเป็นทางการเข้าเมืองถูกต้องตามกฎหมาย 5 แสนคน เมื่อรวมกับแรงงานที่ลักลอบเข้าเมืองคาดว่าจะมีรวมกว่า 1–1.2 ล้านคน

แรงงานเหล่านี้ไม่เพียงตอบสนองต่ออุปสงค์แรงงานในหลายกิจการในไทย แต่แรงงานเหล่านี้ยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศกัมพูชา แรงงานเหล่านี้จะส่งเงินกลับบ้าน (Remittance) คิดเป็นรายได้สำคัญของเศรษฐกิจกัมพูชา ราว 40,000–65,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นกว่า 6.5% ของ GDP กัมพูชา (Khmer Times, 2024; World Bank, 2024)

ผลกระทบเบื้องต้นต่อตลาดแรงงานจากความขัดแย้งไทยกัมพูชา มีดังนี้

การอพยพของแรงงานกัมพูชากลับประเทศ ในช่วง 5 วันของความขัดแย้งรุนแรง (ปลายเดือนกรกฎาคม 2568) มีแรงงานกัมพูชาประมาณ 400,000 คน เดินทางกลับประเทศ โดย 150,000 คนกลับประเทศภายในวันแรก จากข่าวลือเรื่องความไม่ปลอดภัยภายในไทย

ทางการควรมีมาตรการเชิงรุกในการลดการปลุกกระแสความเกลียดชังทางด้านเชื้อชาติและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างชุมชนไทยและแรงงานกัมพูชา

การที่แรงงานหลายแสนคนกลับประเทศในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ ไทยประสบภาวะขาดแคลนแรงงานฉับพลันและยังกลายเป็นภาระต่อระบบเศรษฐกิจกัมพูชา

เนื่องจากแรงงานเหล่านี้ไม่มีงานรองรับในประเทศ ขาดรายได้ และทำให้การส่งเงินกลับประเทศ (remittance) ลดลงทันที (SCMP, 2025; IOM, 2024) แรงงานกัมพูชาจำนวนไม่น้อยยังคงอยู่ในไทยต่อไป โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลชายแดน เนื่องจากมีรายได้ที่สูงกว่าทำงานในประเทศตัวเอง มีงานมั่นคงและไม่มีหลักประกันอะไรว่าเมื่อเดินทางกลับประเทศแล้วยังคงมีงานทำ

อย่างไรก็ตาม การหายไปของแรงงานกัมพูชาจำนวนมากในช่วงเวลาอันรวดเร็ว ก่อให้เกิดการขาดแคลนแรงงานแบบฉับพลัน กระทบการผลิตและการดำเนินงานของกิจการให้สะดุดได้ ส่งผลให้กิจกรรมในภาคเกษตร กิจการก่อสร้าง โรงงานแปรูปอาหาร

โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนอย่างจันทบุรี ตราด และสุรินทร์ ซึ่งแรงงานกัมพูชาคิดเป็นกว่า 70–80% ของแรงงานทั้งหมด ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องชะลอการผลิต

หากสถานการณ์ความขัดแย้งยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อการขาดแคลนแรงงาน ทางการควรเพิ่มการนำเข้าแรงงานจากลาวและเมียนมาชดเชย

หากประเทศไทยจำเป็นต้องใช้แรงงานจากลาวและเมียนมาแทนแรงงานกัมพูชาทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ราว 1–1.2 ล้านคน จะเผชิญกับข้อจำกัดด้านปริมาณแรงงานทดแทนในระยะสั้น

เนื่องจากแรงงานจากลาวมีจำนวนจำกัดและเน้นทำงานในภาคบริการ ขณะที่แรงงานเมียนมาส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในภาคอุตสาหกรรมและชายแดนตะวันตก-ภาคเหนือ

การทดแทนแรงงานกัมพูชาซึ่งเน้นหนักในภาคเกษตรและแปรรูปอาหารในภาคตะวันออก จึงอาจก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานเฉพาะพื้นที่และบางช่วงเวลาได้ โดยเฉพาะในช่วงเก็บเกี่ยว

นอกจากนี้การเจรจาโควตาแรงงาน การตรวจคนเข้าเมือง และต้นทุนด้านกฎหมายอาจเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในภาคการผลิตที่ต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติอย่างมาก

การปรับโครงสร้างการผลิตจากการใช้แรงงานเข้มข้น มาใช้เทคโนโลยีและทุนเข้มข้นขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในระยะยาว การลดการพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาแทนที่เป็นสิ่งที่ต้องมีการวางแผนลงทุนเอาไว้ล่วงหน้า

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

ทบ. ซัด กัมพูชา ปั่นข่าว กองทัพบกไทยเตรียมยิงก่อนประชุม จีบีซี

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

TFM ท็อปฟอร์มไตรมาส 2/68 กำไร 194 ล้านบาท ทำนิวไฮต่อเนื่อง กระแสเงินสดแกร่ง

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘ไบโอเมตริกซ์’ ถูกโจมตีหนัก โจรไซเบอร์จ้องขโมยข้อมูล

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

กอ.รมน. จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว เข้มพื้นที่เป้าหมาย รับมือโดรนไม่ทราบฝ่าย

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไอที ธุรกิจอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...