บทเรียนจาก ศึกเขมร จาก ปราสาทตาควาย ถึง ภูมะเขือ กองทัพ เร่งปรับ ทุกด้าน
หลังการสู้รบกับทหารกัมพูชา ต่อเนื่อง 5 วัน เต็มๆ จาก 24 -28 กค.2568 ทำให้กองทัพไทยรู้ถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของกำลังรบของกองทัพ โดยเฉพาะในส่วนของกองทัพบกซึ่งถือเป็นกำลังส่วนใหญ่ในยุทธการ “ยุทธบดินทร์” ภายใต้แผนจักรพงษ์ภูวนารถนี้
ทั้งในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ ในเรื่องกำลังพล และในเรื่อง ยุทธวิธี ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับทหารกัมพูชา ที่มีความได้เปรียบในเรื่องความอึดและการคุ้นชินกับสภาพภูมิประเทศพื้นที่ชายแดนมากกว่า
เนื่องจากที่ผ่านมา ทหารกัมพูชาได้ออกลาดตระเวนเข้าไปในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน เพราะถือว่าเป็นดินแดนของเขมร แม้จะเป็นการละเมิดข้อตกลง เอ็มโอยู 2543 ก็ตาม รวมถึงล้ำเข้ามาในเขตแดนประเทศไทย เนื่องจากฝ่ายไทยไม่ได้มีการวางกำลังไว้ตลอดแนว
อีกทั้งทหารกัมพูชาที่เป็น “ทหารบ้าน” อยู่ในแนวหน้าที่ชายแดนส่วนใหญ่ก็จะมีประสบการณ์ในการรบ มาตั้งแต่สมัยเวียดนามบุก และสมัยปัญหาของเขมรสามฝ่าย
ขณะที่เรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์แม้ในภาพรวมแล้วกองทัพไทยจะดูมีความทันสมัยและเป็นกองทัพที่มีขนาดใหญ่กว่ากัมพูชา
แต่บทเรียนจากการรบครั้งนี้ ก็จะสะท้อนให้เห็นว่าเมื่อฝ่ายทหารกัมพูชายิงจรวดหลายลำกล้องแบบ BM-21 เข้ามาในเขตพื้นที่พลเรือนหมู่บ้านของไทย
ฝ่ายทหารไทยไม่สามารถที่จะสกัดกั้นการยิงจรวดนี้ได้ในทันทีเนื่องจากรอการสนับสนุนทางอากาศจากเครื่องบินรบของกองทัพอากาศ คือ F-16 และ Gripen มาทิ้งระเบิดซึ่งเครื่องบินรบก็ไม่สามารถทำการบินได้ทั้งวัน
เพราะก็ต้องระวังการต่อต้านจากฝ่ายกัมพูชาซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่ามีจรวดต่อสู้อากาศยานแบบ KS-1C ที่ซื้อมาจากจีนและยังมีจรวดหลายลำกล้องที่ยิงไกลถึง 130 กิโลเมตร อย่าง PHL 03 ยุทโธปกรณ์จากจีนที่กัมพูชาได้มาใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว
อีกทั้งกองทัพอากาศต้องขออนุมัติในการทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายทางทหารในทุกเป้าหมายไม่สามารถที่จะทำการทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายได้ตามที่ต้องการ และต้องเป็นเป้าหมายที่ได้รับการชี้เป้าและอนุมัติเสนอมาโดยกองทัพบก เนื่องจากเป็นเป้าหมายนอกเส้นปฏิบัติการของกองทัพหรือเป้าหมายนอกประเทศจึงต้องมีการขออนุมัติในระดับรัฐบาลและสภาความมั่นคงแห่งชาติในทุกเป้าหมาย
อีกทั้งการใช้เครื่องบินรบขนาดใหญ่ในการโจมตีหรือปฏิบัติการสนับสนุนโดยใกล้ชิดให้กับกำลังทางบก ถือว่าเครื่องบินเอฟ-16 หรือ กริพเพน มีขนาดที่ใหญ่เกินไป ควรที่จะต้องใช้เครื่องบิน ปฏิบัติการ Closed Air Support หรือเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธ
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ “บิ๊กเล็ก” พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม รักษาการ รมว.กลาโหม สั่งการให้ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จัดแผน ในการจัดหายุทโธปกรณ์ของ 3 เหล่าทัพ ทดแทน ที่ได้ใช้การไปและสึกหรอสูญเสียเสียหาย เพราะ หลังจากได้มีการสู้รบมาแล้วรัฐบาลพร้อมสนับสนุน และเพิ่มการเสริมสร้างความพร้อมรบให้สูงขึ้นจากการสู้รบ ที่ผ่านมายุทโธปกรณ์ที่จัดหาเป็น ยุทโธปกรณ์เชิงรับ ต่อไปเราต้องมียุทโธปกรณ์เชิงรุกด้วย โดยให้จัดหา เช่นประมาณ 50 ยุทโธปกรณ์ วงเงินประมาณ 1 หมื่นล้าน แต่หากรัฐบาล บอกว่ามี 5,000 ล้าน เราจะต้องตัดท้าย ออก ตามความจำเป็นเร่งด่วน
พร้อม ให้เร่งจัดเสนอความต้องการขึ้นมาด่วน ซึ่งทางรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนและจะขออนุมัติจากรัฐบาล ในการยกเว้นกรรมวิธีจัดหา ให้เป็นแบบเฉพาะเจาะจง เพราะหากดำเนินตามวิธีปกติอาจจะต้องรอไปถึงปี 2570 ถึงจะได้ยุทโธปกรณ์เหล่านั้น แต่เราต้องการเร่งด่วนเพื่อมาทดแทน จึงต้องทำให้เร็วที่สุด และนำประสบการณ์ในครั้งนี้มาดูว่าจะต้องเสริมอุปกรณ์อะไรขึ้นมา
ประการสำคัญตอนนี้ต้องมีการ เตรียมเรื่องอาวุธกระสุนเพื่อมาเตรียมพร้อมรับสถานการณ์เพราะตราบใดที่การเจรจาหยุดยิงยังไม่ได้ผล และกำลังทหารและยุทโธปกรณ์หนักของทั้งสองฝ่ายยังคงประชิดอยู่ที่ชายแดน ฝ่ายทหารไทยก็ยังวางใจไม่ได้
เพราะกว่าที่จะหยุดยิงจริงๆตามกำหนดเที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 แต่ฝ่ายทหารกัมพูชาก็ยังละเมิดข้อตกลงด้วยการยิงทั้งด้วยปืนเล็กยาวและเครื่องยิงลูกระเบิดหรือปืนค. เข้าใส่ทหารไทยและมีการปะทะกันเกิดขึ้น ในช่วง 2 วันแรกของการหยุดยิง
ไม่แค่นั้นกองทัพยังต้องต่อสู้กับปฏิบัติการข่าวสารของฝ่ายกัมพูชาที่ปล่อยข่าวลือข่าวปลอมเฟกนิวส์ แบบไม่สนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความได้เปรียบในสายตาชาวโลก และเดินหน้าในด้านการทูต โดยการเชิญผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศที่ประจำในกัมพูชาและสื่อมวลชนลงพื้นที่ก่อนฝ่ายไทย สองวัน
ที่สำคัญฝ่ายกัมพูชาพาไปในพื้นที่ช่องอานม้า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายทหารไทยโดยกองกำลังสุรนารีได้ประกาศว่าสามารถยึดคืนและครอบครองพื้นที่ได้ จากที่ฝ่ายกัมพูชาเคยยึดครองมานาน
ที่สำคัญเป็นการพาคณะเข้าไปโดยไม่แจ้งฝ่ายทหารไทยก่อนเลยและโดยที่ไม่กลัวว่าฝ่ายทหารไทยจะยิงใส่คณะนี้ ฝ่ายเขมรทำทีเหมือนไม่สนใจว่าพื้นที่นี้ทหารไทยได้ยึดไปแล้ว แต่ก็ใช้คณะผู้ช่วยทูตและสื่อมวลชนกรุยทางเข้ามาและทำให้ทหารกัมพูชาก็เข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้ต่อไปด้วย
ที่สำคัญที่สุดคือการที่ ในห้วงการสู้รบกัน โซเชียลมีเดีย ได้มีการเสนอข่าวกันเองว่าทหารไทยยึดปราสาทตาควายได้แล้วและมีการทำภาพที่ทำโดยเอไอว่าได้ปักธงที่ปราสาทตาควายแล้ว
อีกทั้ง ศบ.ทก. ได้เคยแถลงก่อนหน้านี้ว่าฝ่ายทหารไทยสามารถควบคุมพื้นที่ 11 พื้นที่ได้ก่อนเดทไลน์การหยุดยิง โดยในจำนวนนี้มีปราสาทตาควายรวมอยู่ด้วย จึงทำให้ประชาชนเข้าใจว่าทหารไทยยึดตัวปราสาทตาควายได้แล้วจริง
แต่ต่อมาเมื่อฝ่ายกัมพูชาพาคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่และได้ไปที่ปราสาทตาควาย ซึ่งอยู่ในพื้นที่บ้านบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ พร้อมโชว์ภาพว่าทหารกัมพูชาได้ยึดปราสาทตาควายไว้เรียบร้อยแล้วมีการตั้งบังเกอร์รวมถึงภาพของทุนระเบิดสังหาร แบบ PMN2 ที่วางอยู่เป็นพวงๆ
ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ในช่วงการสู้รบที่ทหารกัมพูชาสามารถเข้ายึดตัวปราสาทตามควายได้ในห้วงวันที่สามของการสู้รบ จากนั้นฝ่ายทหารไทยก็พยายามที่จะเข้ายึดปราสาทคืนแต่เนื่องจากทหารไทยอยู่ในพื้นที่ที่ต่ำกว่าจึงเสียเปรียบ อีกทั้งทหารกัมพูชาได้วางระเบิดล้อมรอบปราสาทตาควายไว้
ฝ่ายทหารไทยจึงพยายามเข้ายึดทางเนิน 350 ซึ่งอยู่ในเขตกัมพูชาเพื่อที่ได้ชัยภูมิที่สูงกว่าในการที่จะควบคุมพื้นที่และตีคืนเอาปราสาทตาควายกลับมาแต่ปรากฏว่าทหารกัมพูชาก็ได้วางสนามทุ่นระเบิดไว้โดยรอบส่งผลให้ทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาดบาดเจ็บและมีเสียชีวิต ในห้วงการสู้รบที่ผ่านมา
จนในที่สุดกองทัพบกต้องออกมาขอโทษที่ไม่สื่อสารให้ละเอียดให้ประชาชนรับทราบ เพราะสำหรับทหารแล้วการยึดพื้นที่ควบคุมพื้นที่ได้มีความสำคัญมากกว่าการยึดที่ตัวปราสาท เพราะตัวปราสาทเป็นเป้าหมายของการถูกโจมตี
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกต้องเปิดแถลงข่าว ยืนยันว่ากองทัพบก ไม่เคยพูดว่า เรายึดตัวปราสาทตาควาย ได้ แต่สำคัญที่การควบคุมพื้นที่เราพูดเป็นพื้นที่คือบริเวณโดยรอบนอก เพราะหากเทียบในเชิงยุทธการแล้ว เนิน 350 มีความสำคัญกว่าเพราะตัวปราสาทตาควาย เป็นพื้นที่ต่ำกว่า แต่เนิน 350 ก็ถูกล้อมไปด้วยสนามทุ่นระเบิด
พล.ต.วินธัย ยืนยันว่าเมื่อถึงกำหนดเดทไลน์หยุดยิงในภาพรวมแล้วทหารไทยเราควบคุมพื้นที่ได้มากกว่าแม้จะไม่100 %
“การยืดตัวปราสาทได้หรือไม่เป็นตัวชี้วัดว่า ชนะ หรือ แพ้ แต่สำคัญที่การควบคุมพื้นที่ ที่สามารถกล่าวได้ว่าเราสามารถควบคุมพื้นที่ได้แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์” โฆษก กองทัพบกระบุ
แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ส่งผลให้เกิดปัญหาภายในในเรื่องของการสื่อสารข้อมูลที่กองทัพบกอาจรายงานไม่ละเอียดส่งผลให้ ศบ.ทก. รายงานไม่ถูกต้องและสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกับประชาชน เหล่านี้ล้วนเป็นบทเรียนหลังการรบที่ทหารไทยต้องมีการปฏิรูปและปรับปรุงอย่างเร่งด่วน
เพราะในอนาคตกัมพูชาจะยิ่งมีการพัฒนากำลังทหารมากขึ้น เพราะตอนนี้กำลังกองทัพบกก็มีความเข้มแข็งเพราะทหารไทยเองเราไม่สามารถที่จะเผด็จศึกได้ภายใน 3 วันอย่างที่คาด เพราะมีปัจจัยและเงื่อนไขเพิ่มเติมหลายอย่างเมื่อต้องรบ
และในอนาคตกัมพูชาก็จะมีการพัฒนาทั้งกองทัพเรือและกองทัพอากาศ ยิ่งในปัจจุบันกัมพูชาเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งความใกล้ชิดกับจีน ที่สนับสนุนงบประมาณและอาวุธยุทโธปกรณ์กระสุนให้ตลอดมา
รวมทั้ง พล.อ.ฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกสหรัฐอเมริกาหรือ นายร้อยเวสต์พอยต์ ก็ได้กลับมารื้อฟื้นความสัมพันธ์กับ กองทัพสหรัฐอเมริกา และกลับมาฝึกร่วมทางทหาร Angkor Sentenel อีกครั้งหลังจากที่หยุดไป 8 ปี จากการตัดสินใจของสมเด็จฮุนเซนเมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี แต่วันนี้กัมพูชาภายใต้นายกรัฐมนตรีที่จบจากสหรัฐ ก็กลับมาฟื้นความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง และในอนาคตสหรัฐก็จะสนับสนุนเรื่องการฝึกและงบประมาณรวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์เช่นเดียวกับที่เคยสนับสนุนให้ประเทศไทยมา
เพราะแม้ไทยเราจะเป็นพันธมิตรนอกนาโตที่ยาวนานของสหรัฐอเมริกาและเคยร่วมรบกันมาหลายสมรภูมิและมีความใกล้ชิดกันในความสัมพันธ์ทางทหารแต่ที่สุดแล้วสหรัฐอเมริกาก็ต้องยึดผลประโยชน์ของประเทศตนเองเป็นหลัก
เพราะสหรัฐอเมริกาก็ต้องการแย่งชิงกัมพูชาจากจีน เนื่องจากกัมพูชาก็อยู่ในภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แตกต่างจากประเทศไทย ในเมื่อประเทศไทยมีข้อจำกัดในการให้การสนับสนุนกับสหรัฐฯในเรื่องการตั้งฐานทัพ สหรัฐ เองก็อาจที่จะเล็งเป้าหมายที่กัมพูชาไว้ทดแทน
เหล่านี้เป็นปัญหาและบทเรียนหลังการรบที่กองทัพไทย และสามเหล่าทัพจะต้องรีบแก้ไข
แต่ในการรบที่ผ่านมาก็ถือว่า ทหารไทยทำผลงานได้ดีเนื่องจากสามารถรักษาพื้นที่ของไทยที่เรายึดครองอยู่ในทุกพื้นที่และทหารกัมพูชาพยายามเข้ามาโจมตีแต่ไม่สำเร็จ ในขณะเดียวกันเราก็ยังสามารถยึด ภูมะเขือไล่ทหารเขมรลงจากภูได้สำเร็จ สามารถปักธงชาติไทยบนยอดสูงสุดของภูมะเขือ สร้างความอิ่มเอมให้กับคนไทยมาแล้ว
ดังนั้นหากคนไทยไม่เชื่อมั่นในกองทัพไทยก็จะเข้าทางฝ่ายกัมพูชา อีกหลังจากที่ทำสำเร็จในการสร้างความอ่อนแอให้กับรัฐบาลและทางฝ่ายการเมืองแล้ว เป้าหมายต่อไปคือการสร้างความอ่อนแอทำลายดิสเครดิตกองทัพบกกองทัพไทย จากการสู้รบนับจากนี้ที่ไม่ใช่การสู้รบด้วยอาวุธ