รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง กล่าวถึงสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง กล่าวถึงสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งในวันนี้ล่วงเข้าสู่วันที่ 2 ของการปะทะกันแล้วว่า ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้มีการประกาศสงครามระหว่างกัน และพยายาม “จำกัด” พื้นที่การสู้รบให้อยู่ตามแนวชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยพยายาม “โต้ตอบอย่างได้สัดส่วน” แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูปฏิกิริยาการต่อสู้ของกัมพูชาด้วย
สำหรับท่าทีของนานาชาตินั้น ทั้งอาเซียน และสหประชาชาติพยายามยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ย เพื่อลดระดับความตึงเครียด และไทยได้เข้าไปชี้แจงแล้ว และต้องร่วมมือกับองค์กรเหล่านี้ แต่ทั้งนี้เราก็ยังประมาทไม่ได้ ต้องรอให้กองทัพไทยเข้าไปสถาปนาพื้นที่ปลอดภัยตามแนวชายแดนให้ได้มากกว่านี้ก่อน
ซึ่งฝ่ายไทยพยายามโต้ตอบตามหลักการป้องกันตนเองอย่างถึงที่สุด และถ้าจำเป็นไทยต้องดำเนินการเชิงรุก เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนคนไทย จนเมื่อสถานการณ์ทางทหารหยุดนิ่ง การเจรจาทางการทูตตามช่องทางที่มีอยู่ก็จะกลับคืนมา เปิดการเจรจาในระดับทวิภาคี ซึ่งเป็นช่องทางการเจรจาหลัก เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ และสร้างกรอบการทำงานร่วมกันใหม่ขึ้นมา
แต่การสูญเสียชีวิตของประชาชนชาวไทย ถือเป็นบทเรียนให้มีการยกระดับแนวต้านป้องกันการรุกรานของกัมพูชาให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้
ทั้งนี้ บุคลากรของฝ่ายกัมพูชานั้น ไม่ได้มีความเป็นมืออาชีพ แต่ดำเนินการตามผู้นำ (ฮุนเซน-ฮุน มาเนต) เสียมากกว่า เห็นได้จากนายฮุน ซาเรือน ทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย (และหลานฮุน เซน) ที่เพิ่งถูกไล่ออกไป ที่ไม่ได้แสดงความเป็นมืออาชีพตามหลักวิชาการที่ได้ร่ำเรียนมาจากประเทศไทย แต่กลับทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้ว แย่ลงไปกว่าเดิม
และการที่จะให้กัมพูชากลับมาทำงานตามระบบอย่างเป็นมืออาชีพนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะผู้นำกัมพูชาครองอำนาจมายาวนานและต่อเนื่องกว่า 30 – 40 ปี มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นน้อย นี่เป็นเรื่องที่คนไทยเราต้องทำใจ และกดดันกัมพูชาไปเรื่อย ๆ อย่างที่เราทำในวันนี้ ซึ่งถือว่าเราได้ยกระดับการกดดันเขาขึ้นไปอีกระดับหนึ่งแล้ว
“สงคราม ไม่ใช่อุบัติเหตุ การเข้าสู่สมรภูมิก็ต้องมีการเตรียมการ เมื่อเข้าไปแล้ว การถอยออกมาก็ไม่ง่าย มันมีผลกระทบอย่างต่อเนื่องหลายอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะพยายามจำกัดวงความขัดแย้งให้แคบ ให้สั้น ให้เร็ว แต่ในความเป็นจริงก็อาจจะมีความยืดเยื้อ ต่อเนื่องยาวนาน” รศ.ดร. ปณิธานกล่าว และกล่าวต่อว่า
แม้แต่การยกระดับการโต้ตอบทางการทูตก็สร้างความเสียหายได้เช่นกัน แต่ในเวลานี้เราไม่มีทางเลือกนอกจากการลดระดับความสัมพันธ์ และเราเคยทำกับกัมพูชามาแล้วก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง (ปี 2546 และ 2552) และกลับมาฟื้นฟูความสัมพันธ์กันใหม่ทั้ง 2 ครั้ง
ส่วนทางทหารนั้น กองทัพไทยออกปฎิบัติการไปเยอะแล้ว และสามารถแนวต้านใหม่ และสถาปนาพื้นที่ปลอดภัยได้แล้วบางส่วน แต่ปฎิบัติการทั้งหมดยังไม่จบ และยังอยู่ในชั้นความลับ เราจึงต้องอดทนรอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้
ทั้งนี้ การสู้รบที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ได้ทำลายความเชื่อที่ว่าชาติอาเซียนจะไม่รบกันเองลงไป ทำให้อาเซียนต้องหันกลับมาทบทวนแนวทางการแก้ปัญหาของอาเซียนด้วยกันใหม่อีกครั้ง
สำหรับการสู้รบนั้น ถึงแม้ว่ากองทัพไทยจะมีแสนยานุภาพเหนือกว่า แต่เราไม่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมด อีกทั้งกัมพูชามีขีดความสามารถที่จะทำสงครามแบบอสมมาตร (Asymmetric Warfare – สงครามกองโจร หรือการก่อการร้าย) ที่จะคุกคามชุมชน และประชาชนไทย ซึ่งมีขนาดใหญ่ และอยู่ในรัศมีการยิงของกัมพูชา จนเป็นการยากสำหรับฝ่ายไทยที่จะป้องกันความสูญเสีย แต่ก็ต้องทำให้ได้มากที่สุด
#TheStructure
#TheStructureNews
#ชายแดนไทยกัมพูชา #ไทยนี้รักสงบถึงรบไม่ขลาด
#ปณิธานวัฒนายากร